วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หุ้นIPOปี54 ยิลด์เด่นสูงสุดในภูมิภาคเอเชียอันดับ4ของตลาดหุ้นโลก

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ใน SET และ mai ปีนี้ให้ผลตอบแทนจากการถือหุ้น IPO จนถึงปัจจุบัน (Offer to Date Return) คิดเป็นค่าเฉลี่ย 41.54% สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือนับเป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ในปีนี้10 บริษัท แบ่งเป็นใน SET 3 บริษัท และใน mai 7 บริษัท มีผลตอบแทนนับแต่ IPO จนถึงปัจจุบัน (ณ 21 ธ.ค. 2554) เฉลี่ย 41.54% นับเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคภาคเอเชีย-แปซิฟิก

“ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลตอบแทนนับแต่ IPO ของหลักทรัพย์ใหม่เหล่านี้มีความโดดเด่น คือการที่บริษัทเหล่านี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตและบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมี 6 บริษัท ที่มีกำไรสุทธิเติบโตเกิน 100% จากผลประกอบการงวด 9 เดือน และ 4 บริษัทที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและสภาพคล่องของบริษัท

นอกจากนั้น การที่ SET Index และ mai Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 นับเป็นปัจจัยเอื้อต่อภาวะการซื้อขายหุ้นเข้าใหม่ และยังสะท้อนให้เห็นความมั่นใจของผู้ลงทุนที่มีต่อบริษัทจดทะเบียนไทยแม้จะเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วม” นายชนิตรกล่าว

ขณะเดียวกัน พบว่า ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีผู้ลงทุนที่หลากหลาย ทั้งผู้ลงทุนบุคคลทั่วไปและสถาบันที่ต่างสนใจลงทุนหุ้น IPO เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี (2551-2553) หุ้น IPO ให้ผลตอบแทนนับแต่ IPO ถึงปัจจุบันใกล้เคียงหรือดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีค่าเฉลี่ยในแต่ละปีที่ 40.78% 116.91% และ 85.36% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ผลตอบแทนในแต่ละปีที 21.64% 131.97% และ 42.10% ตามลำดับ

อีกทั้งการที่บริษัทเข้าใหม่สามารถระดมทุนโดยมีต้นทุนที่ถูกกว่าบริษัทที่จดทะเบียนอยู่แล้ว สังเกตได้จากค่าเฉลี่ยราคาหุ้น IPO ต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ของหุ้นเข้าใหม่ที่ 12.60 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ของ SET และ mai อยู่ที่ประมาณ 13.37 เท่าและ 18.46 เท่า ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การระดมทุนโดยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีความน่าสนใจ

ทั้งนี้ ณ วันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าใหม่ในปี 2554 ทั้ง 10 แห่งอยู่ที่ประมาณ 26,000 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 29,298 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.72% ณ วันที่ 21 ธ.ค. 2554 โดยหุ้นเข้าใหม่ใน SET ที่ให้กำไรจากการถือหุ้นจนถึงปัจจุบันสูงสุด คือ บมจ. น้ำตาลครบุรี (KBS) ที่ 20.88% และใน maiได้แก่ บมจ. ยูเนี่ยน อินทราโก้ (UIC) ที่ 118.75% ตามลำดับ

สำหรับตลาดหลักทรัพย์ ในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อมาทำการเปรียบเทียบผลตอบแทนดังกล่าว รวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มี จำนวน 12 แห่ง และตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก 44 แห่ง โดยใช้ข้อมูลราคา IPO ของหลักทรัพย์เข้าใหม่ทุกตัวของแต่ละตลาด เปรียบเทียบกับราคาปิดของหลักทรัพย์นั้น ๆ ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2554




จาก
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000165832

ไพรเวทฟันด์บัวหลวงโตทะยาน ดันใช้Employee’sChoiceกองสำรองฯเต็มตัว

ไพรเวทฟันด์บัวหลวงโตทะยาน ดันใช้Employee’sChoiceกองสำรองฯเต็มตัว

บลจ.บัวหลวง เผย ไพรเวทฟันด์ 2554 โตขึ้น 500% จากสิ้นปี 2553 ที่ 1,000 ล้านบาทเป็น 6,000 ล้านบาท โดยเน้นเจาะฐานลูกค้าบ.ขนาดกลาง-ใหญ่ ที่มีเงินเหลือ ขณะที่กองสำรองเลี้ยงชีพปีนี้โตขึ้น 15% และเตรียมใช้ระบบ Employee’s Choice 100% ในอีก 2 - 3 ปี ข้างหน้า ขณะเดียวกัน มอง ราคาทองคำปีหน้า ถึง 1,800-2,000 เหรียญฯ

นายหรรสา สุสายัณห์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง เปิดเผยว่า ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของบริษัทในปี 2554 มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 2553 ที่ 1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 500% เป็นการเติบโตจากฐานที่ค่อนข้างเล็ก โดยแนวทางในการทำธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลจะเน้นไปในการเจาะฐานลูกค้าบริษัทขนาดกลาง-ใหญ่ที่มีเงินเหลือต้องการบริหาร ซึ่งการที่บริษัทได้บริหารเงินส่วนกลางของ “โครงการดิ เอ็นเนอร์จี้ หัวหิน” ก็ถือเป็นการเปิดตัวแนวทางในทำธุรกิจรูปแบบนี้ของบริษัทได้เป็นอย่างดี จากในอดีตที่ทุกบลจ.จะมุ่งไปในการบริหารเงินให้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือ กองทุนประกันสังคม (สปส.) เพียงอย่างเดียว บริษัทก็จะขยับมาเปิดตลาดบริษัทที่มีเงินเหลือต้องการบริหารให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในอดีตบริษัทเหล่านี้จะบริหารกันเองเช่นไปฝากประจำบ้าง ซื้อพันธบัตรรัฐบาลบ้าง แต่เวลาจำเป็นต้องใช้เงินกะทันหันต้องถอนออกมาก็ได้ดอกเบี้ยต่ำ หรือขายขาดทุนก็มี

โดยการบริหารเงินของบริษัทที่มีเหลือนั้น ต่อไปบริษัทเหล่านั้นอาจจะเอาท์ซอสให้บลจ.มาเป็นผู้บริหารให้แทนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือแนวทางที่บริษัทจะมุ่งไปในอนาคต

นายหรรสา ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเองนั้นบริษัทไม่ได้เน้นในเรื่องของการเติบโตของสินทรัพย์มากนัก เพราะต้องยอมรับว่าตลาดนี้มีการแข่งขันกันสูงโดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ แต่ในปี 2554 ที่ผ่านมาจำนวนบัญชีลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทมีการเติบโตขึ้นประมาณ 15% ถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ โดยบริษัทเน้นเจาะฐานลูกค้าขนาดกลางและเล็ก โดยใช้ทางเลือกการลงทุน (Employee’s Choice) เป็นตัวนำเพื่อให้สมาชิกสามารถบริหารเงินเพื่อเกษียณในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะให้ลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปัจจุบันมาใช้ระบบ Employee’s Choice ทั้งหมด 100% ในอีก 2 - 3 ปี ข้างหน้า โดยจะค่อยๆ แนะนำให้กับลูกค้าเดิมเพราะในส่วนลูกค้าใหม่ที่เข้ามาบริษัทให้เข้าสู่ระบบ Employee’s Choice อยู่แล้ว

“ปัจจุบันการลงทุนในทองคำและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้รับการยอมรับจากลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้นตามลำดับ ในอนาคตการขยับเข้ามาลงทุนในทางเลือกการลงทุนทั้ง 21 รูปแบบ นี้ก็คงมีมากขึ้น แต่ขึ้นกับซัพพลายของสินค้าด้วยว่าจะมีเพียงพอให้ลงทุนได้หรือไม่ แต่ก็ถือเป็นการเปิดกรอบการลงทุนให้กว้างขึ้นจากในอดีตพอสมควร” นายหรรสา กล่าว

ด้านนายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2555 คาดว่าจะเติบโตในระดับ 3 - 4% โดยกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่จะเป็นตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในขณะที่ประเทศไทยหลังเจออุทกภัยครั้งใหญ่ปี54 การเติบโตจะเป็นลักษณะวีเชพ (V) เพราะฐานะการคลังที่แข็งแกร่ง หนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ไม่สูงประมาณ 42% สามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้ถึง 60% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะอยู่ที่เงินลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่จำเป็นต้องมีการฟื้นฟูซ่อมแซม โดยคาดว่าในปี55 นั้น กำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตประมาณ 10-12% ซึ่งรวมการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงแล้ว และคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี55 จะโตประมาณ 4.5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะะเติบโต 1.5 - 2.0% เนื่องจากไตรมาสที่4/54 ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเข้ามา

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในปี 2555 ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ แม้ช่วงที่ผ่านมาราคาทองจะปรับลัลงจากแรงขายทำกำไรและถูกบังคับขาย เนื่องจากตลาดทองฟิวเจอร์ในสหรัฐมีการลงทุนด้วยมาร์จิ้น 20% เมื่อราคาทองลงระดับหนึ่งก็ถูกบังคับขายออกมา อย่างไรก็ตามหากดูระยะยาวการที่ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศลดการสำรองเงินยูโรลงจากปัญหาหนี้ในยุโรป และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) คงนโยบายดอกเบี้ยต่ำถึงกลางปี2556 นั้น รวมถึงการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งติดต่อกัน ทำให้เอื้อต่อการลงทุนในทองคำในระยะกลางถึงยาว ถือเป็นสินทรัพย์ที่ เหมาะกับการกระจายการลงทุน ในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ทองคำให้ผลตอบแทนเป้นบวกทุกปี และในปี 2554 แม้ราคาจะปรับตัวลงมาก็ยังบวกประมาณ 10%

"ตลาดมองว่าทองคำในปี 2555 อาจไปถึง 1,800-2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งบริษัทเองก็มีมุมมองในเชิงบวกต่อการลงทุนในทองคำเช่นกัน" นายพีรพงศ์ กล่าว


ผู้จัดการออนไลน์

ฟันธงปี55ทองพุ่งแตะออนซ์ละ2พัน$ เฮดจ์ฟันด์-กองทุน ยังเก็บเข้าพอร์ต

กูรูทองคำ เชื่อปีหน้าราคาทองยังปรับตัวขึ้นสูง คาดไตรมาส1/55 อยู่ระหว่าง 2.5 - 2.6 หมื่นบาทต่อทองคำ 1 บาท ส่วนทั้งปีลุ้นทำสถิติที่ 2,000 เหรียญ/ออนซ์ เหตุเฮดจ์ฟันด์ และบรรดากองทุนยังเข้าสะสม แม้เม็ดเงินบางส่วนไหลไปถือดอลลาร์ อีกทั้งหลายประเทศยังต้องฟื้นฟูตัวเองจากภัยธรรมชาติ ทำให้มีการระดมเงินจำนวนมาก พร้อมคาดเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯจะมีนโยบายใหม่ๆออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับวิกฤตหนี้ยุโรปจะเริ่มเห็นความชัดเจนช่วงกลางปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำไปต่อ

นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวถึง ภาวะราคาทองคำในปี2555 ว่าในไตรมาสที่1/55ราคาทองคำยังสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกเล็กน้อย โดยมองว่าราคาทองคำจะอยู่ที่ระดับ 1,750-1,800 เหรียญ/ออนซ์หรือ25,000-26,000 บาท ซึ่งปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้ทองคำยังอยู่ในช่วงขาขึ้นได้คือการทยอยซื้อทองคำเก็บสะสมของกองทุนต่างๆเพื่อเก็งกำไร เนื่องจากทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงและไม่มีความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้อทำให้ทองคำยังที่น่าสนใจมากกว่าหุ้นหรือน้ำมันถึงแม้ว่าในช่วงระยะสั้นที่ผ่านมาจะมีการทิ้งการลงทุนในทองคำหันไปถือเงินสกุลดอลลาร์มากขึ้น แต่ถ้าพิจารณาดูจากข้อมูลแล้วจะเห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลดอลลาร์ยังไม่มีเสถียรภาพมากพอเนื่องจากค่าเงินได้ปรับตัวขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา และตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯยังไม่ดีขึ้นโดยยังอยู่ในระดับ8.7%ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง

ขณะที่ตัวเลขการบริโภคในช่วงปลายปีที่ผ่านมานั้นจะไม่สามารถที่จะบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้อย่างชัดเจนนัก นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติของประเทศในภูมิภาคเอเชียเช่น ญี่ปุ่นและไทยซึ่งต้องเผชิญในช่วงที่ผ่านมาทำให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆเหล่านั้นได้รับผลกระทบอย่างมาก จนมีผลทำให้ต้องระดมเงินจำนวนมหาศาลเพื่อมาฟื้นความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งภาคการผลิตภาคการเกษตร และภาคบริการทำให้ราคาทองคำได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นราคาทองคำในประเทศมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปที่ถึงบาทละ24,000-28,000บาท

สำหรับปริมาณการซื้อขายทองคำในรอบปีที่ผ่านมาลดน้อยลงไปกว่า 30 %โดยมีสาเหตุมาจากประชาชนทั่วไปต้องนำทองคำที่สะสมไว้ออกมาขายเพื่อนำเงินไปซ่อมแซมบ้านเรือนของตนเองที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนทำให้ปริมาณการซื้อขายได้ลดลงตามไปด้วย

ด้านนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส ได้กล่าวถึงภาวะทองคำในปี 2555ว่าราคาทองคำจะปรับขึ้นไปที่ระดับราคา 1,450-2,000 เหรียญ/ออนซ์ โดยมองว่าการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในขณะนี้เป็นไปตามวัฎจักรในรอบ12ปี/ครั้ง โดยราคาทองคำจะมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงซึ่งในปีหน้ายังอยู่ในช่วงขาขึ้นแต่จะปรับตัวสูงขึ้นไม่มากนัก โดยปัจจัยบวกที่สนับสนุนมาจาก ในช่วงกลางปี2555 สหรัฐฯจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ทำให้เชื่อว่าจะมีมาตรการในการหาเสียงโดยเฉพาะนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจรวมทั้งโครงการประชานิยมที่จะออกมาเพื่อเอาใจชาวอเมริกันให้สนับสนุนตนเองเป็นสมัยที่สอง
ขณะที่ปัจจัยลบยังหนีไม่พ้นเรื่องวิกฤตในกลุ่มประเทศยูโรโซนที่ยังขาดความชัดเจนในนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้และไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติได้ แต่เชื่อว่าช่วงกลางปี2555 จะมีความชัดเจนในมาตรการแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยจะส่งผลต่อราคาทองให้ปรับตัวดีขึ้น

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจีบูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่าสถานการณ์ทิศทางราคาทองคำขณะนี้มีการเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่อิงกับเงินสกุลยูโรสังเกตุได้จากความสัมพันธ์ของราคาทองคำกับค่าเงินสกุลยูโรซึ่งในระดับ 10วัน อยู่ที่ 90% ขึ้นไปทำให้กระแสข่าวทางฝั่งยุโรปค่อนข้างที่จะมีความสำคัญต่อราคาทองคำอย่างมากในช่วงนี้ แต่ทั้งนี้ยากต่อการคาดการณ์ทำให้ในระยะสั้นราคาทองคำยังคงมีความผันผวนตามกระแสข่าวยุโรปเป็นหลักซึ่งคาดการณ์กรอบการเคลี่อนไหวระหว่าง 1,550-1,680 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ23,000-25,000 บาท/บาททองคำ

โดยทิศทางการลงทุนทองคำจากนี้จนถึงสิ้นปีมองว่ายังเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนที่จะเข้าทยอยซื้อสะสมสำหรับการลงทุนในระยะกลางและระยะยาวเนื่องจากราคาปรับตัวลดลงมาจากปัญหาหนี้ยุโรปที่ยังกดดันตลาดต่อเนื่องโดยในช่วงเกือบ 2 สัปดาห์ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวค่อนข้างรุนแรงและปรับตัวลงกว่า145 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,559 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่ทองคำแท่งในประเทศทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 23,650บาทต่อบาททองคำเช่นเดียวกัน ประกอบกับสถิติในช่วงปี 2552-2553ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าราคาทองคำในช่วงปลายปีจนถึงต้นปีมักจะมีการปรับตัวลงในช่วงปลายปีเป็นลักษณะของการปรับฐานของราคาทองคำแต่หลังจากเดือนกุมภาพันธ์ทิศทางของราคาทองคำจะมีการกลับตัวเปลี่ยนเป็นทิศทางขาขึ้น

นางพวรรณ์ กล่าวว่า ในปีนี้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในบริเวณ1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากวัดจากต้นปีจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 35.20%แม้ว่าจะเกิดแรงขายบางช่วงเวลาที่ทำให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงมาบ้างแต่เชื่อว่าราคาทองคำในสิ้นปีนี้จะสามารถยืนเหนือ 1,650 ดอลลาร์/ออนซ์หรือประมาณ 24,210 บาท/บาททองคำได้ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจะอยู่ที่16.45% มากกว่าการลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตร

สำหรับในปีหน้าวายแอลจีประเมินว่าราคาทองคำจะยังมีความน่าสนใจไม่แพ้กับในปีนี้เนื่องจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปและสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำซึ่งวายแอลจีเชื่อว่าราคาทองคำจะมีความผันผวนจนสามารถจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้นโดยทิศทางราคาทองคำในปี 2555ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในระยะยาว

โดยในช่วง 3เดือนแรกคาดการณ์ว่าราคาทองคำยังคงอยู่ในช่วงของการปรับฐานราคาประเมินกรอบราคา 1,460 - 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 21,400 - 27,200บาทต่อบาททองคำ และคาดว่าราคาจะค่อยๆขยับตัวขึ้นในลักษณะ sideway upจนถึงปลายปี ซึ่งประเมินกรอบราคาถึงปลายปี 2555 ที่บริเวณ 1,600 - 2,000ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 23,500 - 29,370 บาทต่อบาททองคำ

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คาดปัญหาหนี้เสียในยุโรปจบยาก ความเสี่ยงกรีซขึ้นอยู่กับวินัยการเงิน

คาดปัญหาหนี้เสียในยุโรปจบยาก ความเสี่ยงกรีซขึ้นอยู่กับวินัยการเงิน

นักวิเคราะห์บล.เอเชียพลัส มองปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่คลี่คลาย ความเสี่ยงสำคัญอยู่ที่วินัยทางการเงินของกรีซ ว่าจะสามารถกลับมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในอนาคตได้หรือไม่ หากยังผิดชำระหนี้ต่อคาดอาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดระลอกใหม่

รายงานข่าวจากฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากสุดสัปดาห์ก่อนที่ประชุมสภาเยอรมันมีมติสนับสนุนร่างกฎหมายขยายเงินช่วยเหลือสมาชิกสหภาพยุโรป (EFSF) เพิ่มเป็น 4.4แสนล้านเหรียญยูโร (จากเดิม 2.5 แสนล้านเหรียญฯ) ทำให้คาดหมายว่าชาติอื่นๆ อีก 6 ชาติที่เหลือจะอนุมัติร่างกดหมายตามมา ทำให้ความกังวลต่อการเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือกลุ่มประเทศที่มีปัญหาในกลุ่ม PIIGS คลายความกังวลลงไปมาก โดยเฉพาะประเทศที่ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF-EU ไปแล้ว 3 ประเทศ คือ กรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส ที่มียอดหนี้รวม 6.37 แสนล้านเหรียญยูโร เม็ดเงินน่าจะพอเพียงต่อการช่วยเหลือของ 3 ประเทศดังกล่าว (แม้ว่าอาจจะน้อยเกินไปหากเทียบกับอิตาลี และสเปน ที่มีหนี้รวมกันสูงราว 2.48 ล้านล้านเหรียญฯ)

อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกยังมีอยู่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มประเทศที่ขอรับความช่วยเหลือทั้ง 3 ประเทศว่าจะดำเนินการตามแผนตัดลดขาดดุลงบประมาณ โดยไม่ถูกต่อต้านจากประชาชน พร้อมปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดตามเงื่อนไขได้หรือไม่ มากกว่าประเด็นของขนาดเม็ดเงินช่วยเหลือ ซึ่งล่าสุด รัฐบาลกรีซได้อนุมัติแผนตัดลดงบประมาณครั้งใหม่แล้ว ซึ่งหากเป็นไปตามเงื่อนไข และน่าพอใจตามที่กลุ่ม TROIKA (IMF, EU, ECB) ได้เข้าตรวจสอบและเตรียมหารือเพิ่มเติมซึ้งคาดว่า กรีซจะได้รับอนุมัติเงินช่วยเหลืองวดที่ 6 ราว 8 พันล้านยูโร (หลังจากที่ 5 งวดแรกเบิกไปแล้วราว 60 พันล้านยูโร เป็นการเบิกจากกู้ช่วยเหลือก้อนแรก 110 พันล้านยูโร) ซึ่งหากหักส่วนที่เบิกไปแล้วจะเหลือเม็ดเงินที่กรีซสามารถเบิกได้อีกราว 50 พันล้านยูโร ซึ่งพอเพียงสำหรับหนี้ที่ครบกำหนดชำระในอีก 1 ปีข้างหน้า ที่มีอยู่ราว 52 พันล้านยูโร

ดังนั้นโดยสรุปปัญหาของวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปจะจบเร็วแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรักษาวินัยทางการเงินการคลังจากประเทศที่มีปัญหา เพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าจะสามารถนำเงินกลับมาชำระให้แก่เจ้าหนี้ได้ในอนาคต โดยเฉพาะกรณีของกรีซ หากไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้กับ TROIKA ได้ หรือยังมีโอกาสผิดชำระหนี้ได้ ก็อาจจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดระลอกใหม่

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยบล.เอเชียพลัส มีมุมมองเชิงบวกต่อค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังจากที่สภาเยอรมันมีมติสนับสนุนร่างกฎหมาย เพิ่มเม็ดเงินช่วยเหลือสมาชิกสหภาพยุโรป (EFSF) ดังกล่าวข้างต้น แต่อย่างไรก็ตามวิกฤติความเชื่อมั่นในสหภาพยุโรปยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ยังกดดันบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะความกังวลว่าการผิดชำระหนี้ในกรีซ รวมไปถึงการหนีออกจากกลุ่มยุโรปอาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งผลที่ตามมาก็คืออาจจะกระทบต่อวิกฤติความเชื่อมั่นต่อประเทศสมาชิกในกลุ่มยูโรที่เหลืออีก 16 ประเทศ

ขณะที่สถานการณ์ในสหภาพยุโรปเองก็อาจไม่ค่อยดีนัก กล่าวคือ ความเชื่อมั่นในกลุ่มประเทศสมาชิกยุโรปด้วยกันเองก็เสื่อมถอยลง หลังจากเกิดวิกฤติหนี้สาธารณะใน PIIGS โดยเฉพาะประเทศสมาชิกยุโรป ส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาลกรีซ เพราะถูกมองว่าไม่เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ เช่นเดียวกับรัฐบาลอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของยุโรป ก็เริ่มถูกมองว่าอาจจะเข้าสู่วิกฤติได้เช่นเดียวกัน โดยสรุปวิกฤติความเชื่อมั่นในยุโรปที่ยังคงมีอยู่นี้อาจจะทำให้ค่าเงินยูโรปอาจจะทรงตัวในระยะสั้นโดยยืนอยู่ที่ 1.3 เหรียญฯต่อยูโรระยะหนึ่ง และอาจจะไม่ฟื้นตัวเร็วดังที่คาดไว้ในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จนกว่าจะมีอัศวินม้าขาว ที่มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดในการออกมาตรการช่วยเหลือกรีซ ให้รอดพ้นจากวิกฤติรอบนี้


ที่มา
http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9540000125859

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

ธปท.จับตาแห่ตุนเก็งกำไรเงินดอลลาร์ หุ้นดิ่งฉุดค่าบาทอ่อนหลุด31

ธปท.จับตาแห่ตุนเก็งกำไรเงินดอลลาร์ หุ้นดิ่งฉุดค่าบาทอ่อนหลุด31

เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ล่าสุดหลุด 31 บาทต่อดอลลาร์ บิ๊กแบงก์ชาติเผยที่มาต่างชาติเทขายหุ้น-พันธบัตรนำเงินออก จับตานักลงทุนแห่ตุนดอลลาร์หวังเก็งกำไรค่าเงิน มั่นใจเงินบาทยังเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มภูมิภาคและพร้อมจะเข้าไปดูแล หากผันผวนมากเกินไป

ค่าเงินบาทวานนี้ (26 ก.ย.) ปิดตลาดอ่อนค่าลงมาแตะ 31.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างหนัก เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สาเหตุที่เงินบาทอ่อนค่าค่อนข้างมากเกิดจาก 3 แหล่งสำคัญ คือ 1.นักลงทุนต่างชาติมีการเทสินทรัพย์ภายในประเทศทั้งส่วนของหุ้นและพันธบัตรแล้วนำเงินบาทแลกกลับเป็นเงินดอลลาร์ออกนอกประเทศ

2.ผู้นำเข้ามีการซื้อเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น เพราะห่วงว่าทิศทางเงินบาทอ่อนค่าลงไปอีก และ3.จากสถานการณ์ราคาทองปรับตัวลดลงส่งผลให้มีผู้ค้าทองคำช้อนซื้อเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ความต้องการเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้น

ธปท.มีความเป็นห่วงต่อตลาดการเงินโลกที่มีความผันผวนค่อนข้างมาก แต่มองว่าหากปัญหาหนี้ยุโรปมีความชัดเจนขึ้น สถานการณ์ทุกอย่างก็จะปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามในส่วนของ ธปท.พร้อมจะเข้าไปดูแลหากเงินบาทมีความผันผวนมากเกินไป แต่เท่าที่ดูสถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่ถึงขนาดนั้นและเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มภูมิภาคอยู่

“เราพยายามติดตามสถานการณ์ว่าการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท โดยดูว่าบาทอ่อนเกิดจากอะไร มากกว่าคนอื่นหรือไม่ หากเงินบาทอ่อนค่าจะส่งผลกระทบในช่วงต่อไปอย่างไร รวมไปถึงเงินบาทอ่อนจะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้ออย่างไรบ้าง ” รองผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

อย่างไรก็ตาม เงินบาทยังคงไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาคและยังไม่เห็นมีอะไรที่ผิดสังเกต อาจจะมีแค่แรงซื้อทองคำมากกว่าคนอื่นเขาบ้าง ซึ่งเราจับตาเรื่องนี้ต่อไป

**หวังต่างชาติกลับมาลงทุนไทยต่อ***
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท.ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่กรุงวอชิงตันดี.ซี.ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางโลกว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเข้าสู่ระดับปกติมากพอสมควรแล้ว ส่วนสถานการณ์เงินทุนไหลออกในขณะนี้น่าจะเกิดจากปัจจัยที่นักลงทุนต้องการลดความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงจากความไม่มั่นใจเศรษฐกิจโลก แต่เชื่อว่าในระยะปานกลางจะมีเงินทุนต่างชาติไหลกลับมายังประเทศไทยอีกครั้ง

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000122593

ฝรั่งขายทิ้งบอนด์ไทยขนเงินกลับบ้าน เผยวอลุ่มพุ่งวันละ7แสนล.

ฝรั่งขายทิ้งบอนด์ไทยขนเงินกลับบ้าน เผยวอลุ่มพุ่งวันละ7แสนล.

วิกฤติหนี้ยุโรปทุบตลาดตราสารหนี้ไทย บิ๊ก สบน.เผยฝรั่งแห่ขายพันธบัตรขนเงินหนีออกนอกประเทศ เมินใช้เป็นแหล่งพักเงินชั่วคราว พร้อมแจงแผนกู้เงินปี 55 วงเงิน 6.9 แสนล้านบาทชดเชยขาดดุล-ชำระหนี้เอฟไอดีเอฟและรีไฟแนนซ์ไทยเข็มแข็ง หวังล็อกต้นทุนคงที่ระยะยาว ที่ประหยัดต้นทุนกว่าอัตราดอกเบี้ยลอยตัว

นายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องโดยมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) หายไปกว่า 1 ล้านล้านบาทแล้วนั้น พบว่าเงินจากการเทขายหุ้นส่วนใหญ่ไหลออกไปนอกประเทศแล้ว ต่างจากก่อนหน้านี้ที่เงินจากตลาดหุ้นจะไหลเข้ามาสู่ตลาดพันธบัตรเพื่อพักไว้ชั่วคราว อีกทั้งยังมีการขายพันธบัตรนำเงินออกไปด้วยเช่นกัน เห็นได้จากสัปดาห์ที่ผ่านมามีมูลค่าซื้อขายเพิ่มจาก 5 แสนกว่าล้านบาทเป็น 7 แสนล้านบาทต่อวัน

ทั้งนี้ มองว่าการที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการถือเงินสดแทนที่จะโยกเงินลงทุน เนื่องจากกังวลปัญหาเศรษฐกิจโลกและจากความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก นอกจากนั้นในช่วงนี้ยังมีการเทขายบาทออกมาและถือดอลลาร์ไว้แทน ส่งผลให้เงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงด้วย ซึ่งก็น่าจะส่งผลดีกับการส่งออกของไทย หากลงไปถึง 35 บาทต่อดอลลาร์ผู้ส่งออกคงยิ่งพอใจ

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้พบว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนในตราสารหรือพันธบัตรระยะสั้นแทนที่จะลงทุนระยะยาว เพราะพันธบัตรอายุ 1ถึง 5 ปีนั้นดอกเบี้ยไม่ได้แตกต่างกัน นักลงทุนจึงเลือกถือ 1 ปีมากกว่า ขณะที่พันธบัตรระยะยาว 10 ปีนั้น ดอกบี้ยอยู่ที่ 3.9% ปรับขึ้นมาเกน้อยจาก 3.7% ซึ่งถือว่ายังไม่ผันผวนและเป็นต้นทุนที่ไม่สูงมากนักในการระดมทุนของภาครัฐ โดยเห็นว่าสภาพคล่องในประเทศยังมีอยู่มาก ในระยะเวลาอันใกล้นี้ดอกเบี้ยระยะสั้นก็น่าจะเริ่มปรับลดลง ประกอบกับเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงจึงไม่เป็นแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องใช้ดอกเบี้ยนโยบายเข้าไปดูแล จากนั้นสถานการณ์ก็น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

สำหรับแผนการกู้เงินในปีงบประมาณ 2555 รวมทั้งปี 6.9 แสนล้านบาท โดยเป็นการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาทและกู้เพื่อปรับโครงสร้างเงินกู้ (รีไฟแนนซ์) กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินอีก 3.4 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันอาจจะเพิ่มการรีไฟแนนซ์เงินกู้ในโครงการไทยเข้มแข็งอีก 1.49 แสนล้านบาทด้วย หากเห็นว่าสภาพตลาดเอื้ออำนวย เนื่องจากเงินกู้ไทยเข้มแข้งเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว จึงต้องการปรับมาเป็นดอกเบี้ยคงที่ เพราะดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวยังต่ำ จากพันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ที่ 3.8-3.9% เท่านั้น จะช่วยประหยัดต้นทุนดอกเบี้ยลงได้

สำหรับการกู้เงินในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2555(ตุลาคม-ธันวาคม 2554) ค่อนข้างน้อยเพียง 1.24 แสนล้านบาท เพราะเป็นการกู้เพื่อมารีไฟแนนซ์กองทุนฟื้นฟูฯเป็นหลัก เพราะพรบ.งบประมาณปี 2555 ยังไม่ผ่านการพิจารณาจากสภา จึงไม่สามารถกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณได้ โดยจะเป็นการออกพันธบัตร 3.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นอายุ 5 ปี 1.5 หมื่นล้านบาท อายุ 7 ปี 9 พันล้านบาทและอายุ 4 ปี 8 พันล้านบาท ที่เหลือจะเป็นการตั๋วสัญญาใช้เงิน(พีเอ็น) 8.9 หมื่นล้านบาทและออกเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ที่จะขายผ่านตู้เอทีเอ็มในต้นปี 2555 อีก 3,000 ล้านบาท

“เดิมเราคาดว่าแผนการกู้เงินปีนี่จะสูงถึง 7.4 แสนล้านบาท เพราะประมาณการงบประมาณปี 2555 จะขาดดุล 4 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลได้ลดการขาดดุลงบประมาณลง 5 หมื่นล้านบาทเหลือ 3.5 แสนล้านบาท การกู้เงินก็ลดลงตามไปด้วย และคาดว่าพรบ.งบประมาณปี 2555 น่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ซึ่งจะทำให้สบน.สามารถออกพันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณได้ โดยจะเป็นการออกพันธบัตรที่มีผลตอบแทนอัตราอ้างอิงของตลาดได้ 3.68 แสนล้านบาทในช่วง 3 ไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ”นายจักรกฤศฏิ์กล่าว

ด้านหนี้รัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกันนายจักรกฤศฏิ์กล่าวว่า ขณะนี้นี้ต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็นสกุลเงินเยนถึง 70-80% ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด รองลงมาเป็นหนี้ดอลลาร์สหรัฐและยูโร ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเงินกู้ขององค์การรถไฟฟ้ามหานคร(รฟม.)ที่มีหนี้ประมาณ 2.2 แสนล้านบาท คิดเป็น 65% ของหนี้รัฐบาลที่มีรวมทั้งสิ้น 3.7 แสนล้านบาท แต่ไม่ได้ทำการป้องการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน(ฟอร์เวิร์ด)ไว้ล่วงหน้า ทำให้ปัจจุบันต้องรับรู้จากผลจากทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนไปแล้ว 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนหนี้ของการท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ไม่มีปัญหาอะไร

“หนี้ของ รฟม.เป็นปัญหามากและเป็นภาระต่องบประมาณ เพราะเดิมกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันการกู้ยืมให้ และเคยเสนอในช่วงที่เงินเยนอ่อนค่าลง ด้วยการทำฟอร์เวิร์ดจากดอกเบี้ย 0.75% เป็น 1.25% แต่ได้กำไรจากอัตราจากอัตราแลกเปลี่ยนถึง 8 พันล้านบาท แต่เขาไม่ยอมทำ และปล่อยมาจนปัจจุบันต้องขาดทุนจากการที่ค่าเงินเยนแข็งขึ้นแล้ว 1 หมื่นล้านบาท หากรวมแล้วจะหายไปถึง 1.8 หมื่นล้านบาททีเดียว ซึ่งเป็นปัญหามาก เพราะกระทรวงการคลังเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่คู่สัญญาเงินกู้ จึงทำได้เพียงการตั้งงบประมาณชดเชยให้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยมา 5 ปี ซึ่งก็ครบอายุแล้ว และน่าจะต่ออายุให้อีก ช่วงหลังๆเราจึงทำได้คือ การกู้เงินในประเทศแล้วนำมาปล่อยกู้ต่อ เพราะรู้ว่า ฐานะของรฟม.ไม่สามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้อยู่แล้ว” นายจักรกฤศฎิ์กล่าว

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000122596

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

“จรัมพร” แจงต้นเหตุตลาดหุ้นป่วน สภาฯ “ตลาดทุน” ชงแผนรับมือวิกฤตรอบใหม่

“จรัมพร” แจงต้นเหตุตลาดหุ้นป่วน สภาฯ “ตลาดทุน” ชงแผนรับมือวิกฤตรอบใหม่

“จรัมพร” แจงหุ้นไทยร่วงหนัก เกิดจากแรงขายหุ้นกลุ่มบิ๊กแคป ยันพื้นฐาน บจ.ยังแข็งแกร่ง และไม่มีปัญหาฟอร์ซเซลล์ สภาธุรกิจตลาดทุนฯ ชี้ ตลาดหุ้นทั่วโลก กำลังเผชิญวิกฤตในรอบใหม่ ชงตั้งกองทุนพยุงหุ้น เลียนแบบ “วายุภักษ์” เชื่อความแข็งแกร่งหุ้นไทยรอบนี้ ดีกว่าช่วงซับไพรม์ พร้อมเสนอ 7 แนวทางให้ “รบ.ปู” กู้วิกฤต จี้ปรับนโยบายเชิงรุก-ตั้งรับ เชื่อหุ้นไทยร่วงหนักวันนี้ เกิดจากความตื่นตระหนก ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยืนยันว่า การที่ตลาดหุ้นที่ไทยปรับตัวลงไปกว่า 8-9% ในชั่วโมงการซื้อขาย เกิดจากแรงขายหุ้นกลุ่มบิ๊กแคป ทั้งพลังงานและน้ำมัน ที่มีมาร์เก็ตแคปรวมกันอยู่ที่ 27% ปรับตัวลงไป 9% กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีมาร์เก็ตแคป 18% ปรับลงไป 7% กลุ่มก่อสร้างปรับลงไป 7% และกลุ่มสื่อสารปรับตัวลงไป 6%

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แล้ว พบว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ และยังไม่มีปัญหาในเรื่องของการบังคับขายหุ้น (forced sell) เพราะถ้าดูจากมาร์จิ้นโลนทั้งระบบในปัจจุบันอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังอยู่ในระดับปกติ ซึ่งทางตลท.ก็คุมเข็มในเรื่องมาร์จิ้นโลนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

ขณะนี้การบังคับขายหุ้น (forced sell) เฉลี่ยอยู่ที่ 0.5-1.0% เท่านั้น ซึ่งมองว่ายังไม่มีนัยสำคัญ โดยหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเกิดจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ตื่นตระหนกมากกว่า

“หุ้น 4 กลุ่มหลักปรับตัวลง ทำให้ตลาดโดยรวมปรับลงแรงผิดปกติ แต่ถ้ามองพื้นฐานบจ.ยังไม่เปลี่ยน ยังมีความเชื่อมั่นในการลงทุนในหุ้นไทยอยู่ ว่าได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ที่ดี สำหรับข้อเสนอในการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ ถือว่าเป็นมาตรการในระยะกลาง ซึ่งอยู่ในพื้นฐานของสภาตลาดทุนไทยอยู่แล้ว”

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เผชิญกับความเสี่ยงขาลงครั้งใหญ่ และภาวะตลาดทุนโลกที่เผันผวนและแรงเทขาย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย จึงเสนอนโยบาย 7 ข้อ ต่อรัฐบาลไทย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยและตลาดทุนไทย สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ หลังจากที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา ส่วนข้อเสนอมีดังนี้

1.เสนอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายต่างๆ ที่ได้ประกาศไปช่วงก่อนการเลือกตั้งและให้มีการปรับปรุงและเรียงลำดับความสำคัญใหม่ เพื่อให้รองรับการผลกระทบจากการชะลอของเศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบมาถึงประเทศไทย โดยรัฐบาลอาจจำเป็นต้องเก็บงบประมาณบางส่วน เพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากเกิดวิกฤตรอบ 2

2.รัฐบาลอาจต้องทบทวนนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต เช่น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ เพราะการขึ้นค่าแรงในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวอาจทำให้ผู้ประกอบการเลือกลดต้นทุนการผลิตด้วยการปลดคนงาน จึงเสนอให้การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป

3.เสนอให้รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินนโยบายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รวมทั้งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากเอกชนด้วย

4.สภาฯ สนับสนุนนโยบายลดภาษีนิติบุคคล จาก 30% เป็น 20% จึงขอเสนอให้รัฐบาลประกาศยืนยันนโยบายนี้อีกครั้งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจ

5.เนื่องจากมีแรงเทขายในตลาดหุ้นอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก จึงเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนในลักษณะเดียวกันกับกองทุนวายุภักษ์ เพื่อเข้าลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานดี

6.ขอเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทบทวนนโยบายการเงิน และหากสามารถชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปก่อน ก็จะช่วยลดความผันผวนในตลาดทุนได้

7.เสนอให้รัฐบาลรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้การขาดดุลทางการคลัง และหนี้สาธารณะเพิ่มมากหรือเร็วจนเกินไป และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบ


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000122416

สะพัดเม็ดเงินดูไบไหลเข้า ดันหุ้นยืนเหนือ 900 ตลท.แจงระบบป่วนช่วงหลุด 90 จุด

สะพัดเม็ดเงินดูไบไหลเข้า ดันหุ้นยืนเหนือ 900 ตลท.แจงระบบป่วนช่วงหลุด 90 จุด

ตลาดหุ้นโงหัวขึ้นเหนือ 900 จุด ได้สำเร็จ สะพัดเม็ดเงิน “ดูไบ” ไหลเข้า นักลงทุนผวาคำสั่งห้ามชอร์ตเซล “พีอาร์ ตลท.” ชี้แจง กรณีขึ้นเครื่องหมาย H ช่วงที่ดัชนีปรับลงใกล้ระดับ 10% เกิดจากระบบขัดข้อง ยันไม่ได้ใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ชี้แจงกรณีระบบซื้อขายขึ้นเครื่องหมาย H เมื่อเวลา 14.37 น.หลังจากที่ดัชนีร่วงลง 90.15 จุด ไปที่ระดับ 868.01 จุด หรือคิดเป็น -9.42% โดยยืนยันว่า ตลท.ไม่ได้มีการประกาศใช้มาตรการหยุดพักการซื้อขายชั่วคราว (Curcuit Breaker) ตามที่มีกระแสข่าวออกมา แต่เกิดจากระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ขัดข้องชั่วคราว โดยเบื้องต้น คาดว่า เป็นเหตุที่เกิดทางเทคนิค ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไอทีอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุ

โดยเมื่อเวลา 15.15 น.ดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดตัวกลับมายืนเหนือ 900 จุดได้สำเร็จ แต่ที่ระดับ 902.59 จุด ลดลง 55.57 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -5.80% มูลค่าการซื้อขาย 34,940.20 ล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่า นักลงทุนกลับเข้าซื้อหลังลงลึกเกินพื้นฐาน ขณะที่ระบุข่าวสะพัดเงินไหลจากดูไบเข้าพยุงตลาดหุ้นไทย ขณะที่ข่าวลืออีกกระแสได้สะพัดออกมาว่า ตลาดหลักทรัพย์สั่งห้ามชอร์ตเซล

ต่อมาเมื่อเวลา 16.28 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 907.01 จุด ลดลง 51.15 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -5.34% มูลค่าการซื้อขาย 45,337.52 ล้านบาท

ล่าสุด ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 904.06 จุด ลดลง 54.10 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -5.65% มูลค่าการซื้อขาย 47,630 ล้านบาท

ทีมา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000122392

ก.ล.ต.เรียกขวัญนักลงทุน แนะใช้ความรอบคอบ-อย่าตื่นตระหนกเทขาย

ก.ล.ต.เรียกขวัญนักลงทุน แนะใช้ความรอบคอบ-อย่าตื่นตระหนกเทขาย

ก.ล.ต.เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน หลังตลาดหุ้นร่วงหนัก ยันระบบซื้อขาย และฐานะของผู้ให้บริการในตลาดทุน มีความมั่นคงเพียงพอ แนะให้ใช้ความรอบคอบ ตัดสินใจ อย่าตื่นตระหนก

นายชาลี จันทนยิ่งยง รองเลขาธิการ รักษาการเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่าถึงการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทย และตลาดซื้อขายล่วงหน้า (อนุพันธ์) เช้าวันนี้ เป็นผลจากการปรับตัวและความผันผวนของราคาในตลาดโลก ซึ่ง ก.ล.ต.มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและขอให้ความมั่นใจว่าระบบการซื้อขาย การชำระเงิน และส่งมอบหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ ซึ่งรวมถึงฐานะความมั่นคงของผู้ให้บริการในตลาดทุน เช่น ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) และตัวแทนซื้อขายสัญญา ซื้อขายล่วงหน้ามีความมั่นคง

“ดัชนีหลักทรัพย์ ราคาทองคำ และโลหะเงิน วันนี้ ร่วงลงหนักทุกตลาด ดังนั้น ก.ล.ต.ขอเรียนว่า การซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ผู้ลงทุนควรตัดสินใจด้วยความรอบคอบ อย่าตื่นตระหนก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศมีทิศทางเติบโตและฐานะของบริษัทจดทะเบียนยังคงแข็งแกร่ง”

ทั้งนี้ ก.ล.ต.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะประสานงานและติดตามข้อมูลที่อาจเกิดผลกระทบกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอย่างใกล้ชิด เพื่อเปิดเผยให้สาธารณชนรับทราบสำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนต่อไป


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000122312

แบล็กมันเดย์ หุ้นไทยดิ่งเหว 75 จุด ดัชนีหลุด 900 ต่างชาติ ถล่ม-รายย่อยโดนฟอร์ซเซล

แบล็กมันเดย์ หุ้นไทยดิ่งเหว 75 จุด ดัชนีหลุด 900 ต่างชาติ ถล่ม-รายย่อยโดนฟอร์ซเซล

ตลาดหุ้นไทยโคม่า ดัชนีภาคเช้าร่วงหนัก 74.39 จุด หลุดระดับ 900 เรียบร้อยแล้ว คาดแนวโน้มลงลึกถึงระดับ 850 โบรกเกอร์ คาด นักลงทุนต่างชาติขนเงินออกจากหุ้น เพื่อกลับไปชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ พร้อมกับมีแรงกดดันจากการเทขายของนักลงทุนสถาบัน และแรงขายของนักลงทุนรายย่อยที่ถูกฟอร์ซเซล

ภาวะตลาดหุ้นไทย วันนี้ ดัชนีภาคเช้าผันผวนอย่างหนัก มีแรงเทขายในหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลงหนักเกือบ 8% หลุดระดับ 900 จุด เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อเวลา 12.30 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 883.23 จุด ลดลง 74.93 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -7.82% มูลค่าการซื้อขาย 24,813.25 ล้านบาท

ทั้งนี้ 5 อันดับ หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด ได้แก่ PTT ปิดที่ 264.00 บาท ลดลง -26.00 บาท, BANPU ปิดที่ 524.00 บาท ลดลง -62.00 บาท, SCC ปิดที่ 265.00 บาท ลดลง -19.00 บาท, BBL ปิดที่ 136.00 บาท ลดลง -9.50 บาท และ PTTCH ปิดที่ 91.25 บาท ลดลง -8.75 บาท

นักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ ดัชนีร่วงลงค่อนข้างหนักรับแรงกดดันจากภายนอกประเทศ หลังตลาดหุ้นต่างประเทศเช้านี้ปรับตัวลงต่อ จากความกังวลเรื่องการแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรป และการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นักลงทุนต่างชาตขนเงินออกจากหุ้นในหลายประเทศ เพื่อกลับไปชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ พร้อมกับมีแรงกดดันจากการเทขายของนักลงทุนสถาบัน และแรงขายของนักลงทุนรายย่อยที่ถูกบังคับขายหุ้น (Forced Sell) ในส่วนที่ได้กู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อไปซื้อหุ้นด้วย จึงยิ่งฉุดให้ดัชนีร่วงแรง

นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ออกมาระบุว่า อาจมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ลง จึงแนะนำให้ชะลอลงทุน และถือเงินสดให้มากที่สุดไว้ก่อน

“แนวโน้มในช่วงบ่าย คาดว่าจะยังคงปรับตัวลดลงต่อได้อีก หากหลุดแนวรับ 930 จุด ก็มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอีก จึงมองว่าแนวรับถัดไปน่าจะอยู่ที่ 850 จุด กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนก่อน และถือเงินสดรอ อย่าเพิ่งเข้าซื้อในตอนนี้ ให้รอจนกว่าแรงขายเริ่มลดลง และดัชนีเริ่มยืนอยู่ได้”

ทั้งนี้ พบว่า ลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS จำนวน 8 ราย ได้ถูกบังคับขายหุ้น (Forced Sell) ไปแล้ว โดยหุ้นที่ถูกบังคับขายจะเป็นหุ้นในกลุ่ม SET100 ซึ่งก็จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อถูกบังคับขายแล้ว ผลออกมานักลงทุนยังขาดทุนอยู่ ทางโบรกเกอร์เองก็จำเป็นจะต้องนำทรัพย์สินที่ลูกค้าวางค้ำประกันไว้ที่บริษัท นำมาหักกลบลบหนี้ส่วนที่เหลือให้หมดไป



ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000122299

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

ต่างชาติขนเงินออกทุบค่าบาทร่วง เผยธนาคารกลางเตรียมเข้าแทรกแซง

ต่างชาติขนเงินออกทุบค่าบาทร่วง เผยธนาคารกลางเตรียมเข้าแทรกแซง

เงินบาทอ่อนค่าหนักใกล้หลุด 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หลังทุนต่างชาติเริ่มไหลออก แนะจับตาธนาคารกลางทั่วเอเชีย เข้าแทรกแซงค่าเงินในประเทศ เพื่อชะลอความผันผวน ขณะที่ ธปท. ดูแลตลาดใกล้ชิด ชี้ สถานการณ์ยังไม่น่ากังวล

รายงานภาวะค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2554 (วานนี้) เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 30.76-30.78 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดย ระหว่างวันปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่องจากการไหลออกเงินทุนต่างชาติ จนปิดตลาดที่ระดับ 30.86-30.88 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่าเป็นการถอนลงทุนของต่างชาติในตลาดหุ้น โดยดัชนีหลักทรัพย์ของไทยปรับลงหนัก 2 วันซ้อนกว่า 70 จุด ส่งผลให้มูลค่าตลาดหายไปถึง 2.65 แสนล้านบาท

นักบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารพาณิชย์ไทย เชื่อว่าในช่วง 1-2 วันนี้ ธนาคารกลางทั่วเอเชีย รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจต้องเข้าแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในปริมาณที่สูงขึ้น เพื่อดูแลไม่ให้ค่าเงินเคลื่อนไหวผันผวนในลักษณะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ มากนัก

ทั้งนี้ การผันผวนของค่าเงินเอเชีย รวมทั้งค่าเงินบาท เกิดจากความกังวลของนักลงทุนต่างชาติต่อปัญหาวิกฤตหนี้ในกลุ่มประเทศยุโรป โดยเฉพาะความกังวลว่าจะลุกลามไปยังอิตาลีซึ่งเป็นตลาดพันธบัตรขนาดใหญ่ในกลุ่มยุโรป ส่งผลให้เกิดการเทขายสินทรัพย์ทั้งในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นในเอเชียรวมทั้งไทย เพื่อเข้าไปถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลอื่น

สำหรับกรณีของปัญหาดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกระทบค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง โดยในช่วงระยะสั้น1-2 เดือน นับจากนี้เป็นต้นไป คาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าแตะระดับ 31.00-31.50 บาทต่อดอลลาร์ และหากปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรปได้รับการแก้ไขดีขึ้น ค่าเงินบาทในช่วง 6-12 เดือนนับจากนั้น จะกลับมาแข็งค่าในระดับ 30.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลกลับ

นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ได้ติดตามดูสถานการณ์ในตลาดการเงินของไทยอย่างใกล้ชิด ซึ่งเห็นว่าการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไทยช่วงนี้ยังไม่มีประเด็นใดที่น่ากังวล ส่วนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐซึ่งอ่อนค่าลงก็เป็นไปทิศทางเดียวกับค่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค และที่ผ่านมา ธปท.ก็ไม่ได้เข้าไปดูแลแต่อย่างใด

โดยในส่วนของผู้ส่งออกเริ่มเห็นว่า หลังจากเงินบาทอ่อนค่าลง ก็มีการขายเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ออกมากันค่อนข้างมาก ขณะที่ผู้นำเข้าเป็นผู้ซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้การเคลื่อนไหวของค่าเงินค่อนข้างมีเสถียรภาพ ส่วนการลงทุนในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นช่วง 2-3 วันมานี้ก็เริ่มมีแรงขายออกมาค่อนข้างมากเช่นกัน

ขณะที่รายงานทุนสำรองระหว่างประเทศของ ธปท. วันที่ 16 กันยานยน 2554 มีจำนวน 184,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ฐานะเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิมี 27,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมแล้วมีทุนสำรองฯ สุทธิ 211,900 ล้านเดอลลาร์สหรัฐฯ


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000121652

"จรัมพร" แถลงสร้างความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย คาดวิกฤตรอบนี้เงินไหลออก 1.5 แสนล้าน

"จรัมพร" แถลงสร้างความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย คาดวิกฤตรอบนี้เงินไหลออก 1.5 แสนล้าน

"จรัมพร" แถลงสร้างความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย ลั่นยังไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการเสริมพิเศษ เพื่อเข้าไปดูแล แต่จะเฝ้าระวัง "มาร์จิ้นโลน" คาดหากลงแรงจะมีฟอร์ซเซลไม่มาก เพราะมีบัญชีเพียง 3 หมื่นล้าน น้อยกว่าปี 40 ที่มีสูงถึง 1 แสนล้าน ยอมรับเป็นห่วงเงินทุนไหลออก คาดจบวิกฤตรอบนี้ ต่างชาติขนเงินกลับ 1.5 แสนล้าน น้อยกว่าปี 51 ขณะที่ TFEX หยุดซื้อขาย Silver Futures ครึ่งชม. หลังราคาฯ ร่วง 10% หุ้นภาคบ่ายอาการดีขึ้น แต่ยังอยู่ในแดนลบ และปิดตลาดปรับตัวลดลง 32.43 จุด

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในการแถลงข่าวสร้างความเชื่อมั่นกรณีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงถึง 5% เมื่อเช้าวันนี้ โดยระบุว่า การปรับตัวลงแรงของดัชนีเกิดจากปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ แต่จะเฝ้าระวังเรื่องการใช้สินเชื่อเพื่อซื้อหุ้น (มาร์จิ้นโลน) ซึ่งในปัจจุบันในระบบมีอยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับระดับที่น่ากังวลตอนปี 2540 ที่มาร์จินโลนอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท

ส่วนการบังคับขายหุ้น (ฟอร์ซเซล) ในขณะนี้ ยืนยันว่ายังไม่น่าเป็นห่วง เพราะนักลงทุนที่ลงทุนตลาดหุ้นผ่านระบบมาร์จิน มีสัดส่วนไม่มาก อย่างไรก็ตาม ตลท. เตรียมมาตรการปกติที่วางหลักเกณฑ์ไว้คือเซอร์กิต เบรกเกอร์ หากดัชนีลงไปลึกถึง 10% เพื่อพักการซื้อขายหลักทรัพย์ช่วงหนึ่ง ก่อนเปิดให้มีการซื้อขายตามปกติ

"ยังไม่มีความจำเป็นต้องมีมาตรการพิเศษเพื่อดูแลตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ แม้ว่าในช่วงเช้าที่ผ่านมาจะร่วงลงไปลึกกว่า 5% ในระหว่างเทรด เนื่องจากเป็นผลจากปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ ปัจจุบันมีเม็ดเงินลงทุนผ่านมาร์จิ้นเพียง 3 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าคงถูกฟอร์ซเซลไม่มาก และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลดาหุ้นไทย"

สำหรับสาเหตุของการปรับลงของตลาดหุ้นทั่วโลก นายจรัมพร ระบุว่า เกิดจากการโยกเงินออกจากตลาดหุ้น และสินทรัพย์เสี่ยงไปหลบภัยในพันธบัตร ซึ่งขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่ามีเงินไหลออกมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม มองว่ายังมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเพื่อนำเงินกลับไปสำรองไว้ชดเชยผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ในสถานการณ์ดังกล่าว มองว่าเป็นโอกาสดีของการเข้าลงทุนของนักลงทุนในประเทศ โดยในส่วนของแรงขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ 3 หมื่นล้านบาทนั้น นายจรัมพร กล่าวว่า ยังน้อยกว่าปี 2551 ที่ต่างชาติขายถึง 1.6 แสนล้านบาท

"คิดว่าวิกฤตตลาดหุ้นในรอบนี้ น่าจะมีเงินไหลออกใกล้เคียงกับปี 2551 ที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งมีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยจำนวนกว่า 1.5 แสนล้านบาท"

นายจรัมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีดังกล่าวตนเองได้มีการรายงานข้อมูลให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับทราบแล้ว และเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้คงยังไม่ถึงขั้นต้องใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ เพื่อหยุดพักการซื้อขายชั่วคราว

ด้านตลาดอนุพันธ์ ประกาศหยุดทำการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า Silver Futures เป็นการชั่วคราว ในวันที่ 23 กันยายน 2554 ตั้งแต่เวลา 15.05 น. ตามที่ราคาซื้อขายของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโลหะเงิน (Silver Futures) ในวันที่ 23 กันยายน 2554 เวลา 15.05 เปลี่ยนแปลงลดลงจากราคาที่ใช้ชำระราคาและส่งมอบล่าสุด (Latest Settlement Price) คิดเป็น 10%

ทั้งนี้ ตลาดอนุพันธ์ จะเปิดทำการซื้อขายอีกครั้งในเวลา 15.35 น. และกำหนดให้เริ่มช่วง Pre-open ตั้งแต่เวลา 15.25 น. ถึง 15:35 น. (10 นาทีก่อนเปิดการซื้อขาย) และจะขยาย Daily Price Limit จาก +/-10% เป็นไม่เกิน +/-20% ของราคาที่ใช้ชำระราคาและส่งมอบล่าสุด (Latest Settlement Price)

ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยภาคบ่าย เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังคงแกว่งตัวอยู่ในแดนลบ โดยเมื่อเวลา 15.27 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 957.78 จุด ลดลง 32.81 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -3.31% มูลค่าการซื้อขาย 38,044.01 ล้านบาท

ล่าสุด ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 958.16 จุด ลดลง 32.43 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -3.27% มูลค่าการซื้อขาย 50,108.85 ล้านบาท

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000121451

"ไอเอ็มเอฟ" ชี้ ศก.โลก เข้าสู่ภาวะอันตราย "มูดีส์" หั่นเครดิตธนาคารกรีซ 8 แห่งรวด

"ไอเอ็มเอฟ" ชี้ ศก.โลก เข้าสู่ภาวะอันตราย "มูดีส์" หั่นเครดิตธนาคารกรีซ 8 แห่งรวด

ไอเอ็มเอฟ ชี้ ระบบการเงินโลกกำลังเข้าสู่ภาวะอันตราย นับตั้งแต่เกิดวิกฤต ศก.ปี 51 แนะผู้นำทั่วโลกต้องร่วมมือร่วมใจใช้มาตรการกู้วิกฤตให้ผ่านพ้นให้ได้ "มูดีส์" ประกาศหั่นเครดิต เงินฝาก-หุ้นกู้ ธนาคารกรีซ 8 แห่ง แนวโน้มยังเป็นลบ

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกรายงานว่าด้วยเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก ระบุว่าขณะนี้ระบบการเงินโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงมากกว่าครั้งใดๆ นับตั้งแต่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2551 โดยไอเอ็มเอฟ เตือนว่าตอนนี้ธนาคารหลายแห่งของยุโรปกำลังมีสถานะอ่อนแอและจำเป็นต้องเพิ่มทุนอย่างเร่งด่วน

ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าปัญหาหนี้ยูโรโซนได้พ่นพิษทำให้ธนาคารในสหภาพยุโรปต้องสูญเงินไปแล้วกว่า 2 แสนล้านยูโร นับตั้งแต่วิกฤตเริ่มต้นเมื่อปลายปี 2552 ก่อนหน้านี้ ไอเอ็มเอฟ เพิ่งประกาศหั่นตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจยุโรปลง จากผลกระทบของวิกฤติหนี้สินที่กำลังรุมเร้า พร้อมกับแนะว่าถึงเวลาแล้วที่ยุโรปต้องก้าวข้ามความไม่ลงรอยและหันมาร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการ ไอเอ็มเอฟ กล่าวเตือนว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ระยะที่เป็นอันตรายครั้งใหม่แล้ว พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้นำทั่วโลกใช้มาตรการที่สอดคล้องกันในการจัดการวิกฤตในครั้งนี้

"เรามองเห็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับช่วงขาลง ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะฟื้นตัว แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นก็น้อยกว่าในช่วง 3 ปีที่แล้ว ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ร่วมกัน"

นอกจากนี้ นางลาการ์ดกล่าวว่า ทุกประเทศทั่วโลก "มีการเชื่อมต่อกันอย่างมาก" โดยผ่านช่องทางทางการเงินและโครงร้างทางการเงิน โดยเธอย้ำว่า ภาวะผู้นำที่รวมตัวกันอย่างเป็นเอกภาพ และการตัดสินใจร่วมกันทางการเมือง ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยกอบกู้วิกฤตการณ์ในครั้งนี้

มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อเงินฝากระยะยาวและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของธนาคารกรีซ 8 แห่ง ลง 2 ขั้น โดยให้แนวโน้มความน่าเชื่อถือของเงินฝากระยะยาวและหุ้นกู้ของแบงก์ทั้งหมดนี้เป็นเชิงลบ

มูดีส์ ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือเนชั่นแนล แบงก์ ออฟ กรีซ เอสเอ (Ntaional Bank of Greece SA) , อีเอฟจี ยูโรแบงก์ เอร์แกเซียส เอสเอ หรือยูโรแบงก์ , อัลฟา แบงก์ เออี, พีเรอุส แบงก์ เอสเอ, อะกริคัลเจอรัล แบงก์ ออฟ กรีซ และแอตทิกา แบงก์ เอส ลงสู่ระดับ Caa2 จากระดับ B3

นอกจากนี้ มูดีส์ยังได้ลดอันดับความน่าเชื่อของธนาคารเอ็มเพอริกี แบงก์ ออฟ กรีซ และเจนเนอราล แบงก์ ออฟ กรีซ ลงสู่ระดับ B3 จากระดับ B1

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000121355

หุ้นไทยดิ่ง 50 จุด ผวาตลาดเข้าสู่ภาวะหมี ตลท. เตรียมแถลงเรียกความเชื่อมั่น

หุ้นไทยดิ่ง 50 จุด ผวาตลาดเข้าสู่ภาวะหมี ตลท. เตรียมแถลงเรียกความเชื่อมั่น

หุ้นไทยร่วง 50 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก หลังดาวโจนส์วูบกว่า 400 จุด เมื่อคืนนี้ คาดทิศทางหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะหมี "จรัมพร" เรียกถกด่วนผู้บริหาร ตลท. รับมือสถานการณ์วิกฤต พร้อมเปิดแถลงข่าวเรียกความเชื่อมั่น

ภาวะตลาดหุ้นไทย วันนี้ ดัชนีเปิดภาคเช้าปรับตัวลงค่อนข้างแรง ตามทิศทางตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยเมื่อเวลา 12.01 น. ดัชนีอยู่ที่ 943.59 จุด ลดลง 48.54 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -4.90% มูลค่าซื้อขายกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท

นักวิเคราะห์ระบุว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยเปิดมาในช่วงเช้าร่วงแรงต่อเนื่องจากเมื่อวาน เป็นตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก หลังดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงหนักกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ เป็นผลมาจากความวิตกกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย โดยเฉพาะความผิดหวังต่อมาตรการสว็อปพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รวมทั้งปัญหาหนี้ยูโรโซนกดดันทางจิตวิทยาการลงทุน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะหมี

ทั้งนี้ มองว่าผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลจิตวิทยาในเชิงลบต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหายูโรโซนมีแนวโน้มหนักกว่าปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะการรวมกลุ่มส่งผลให้เศรษฐกิจอ่อนแอ ดังนั้น มีโอกาสกลุ่มยูโรโซนอาจจะแตก

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้เรียกหารือด่วนผู้บริหาร ตลท. หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงไปลึกสุดถึง 50 จุด โดยทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการเสนอให้เปิดแถลงข่าวเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุน คาดว่าจะเริ่มหลังปิดเทรดช่วงเช้านี้ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปในขณะนี้

ล่าสุด ดัชนีหุ้นไทยปิดภาคเช้าที่ระดับ 947.98 จุด ลดลง 42.61 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -4.30% มูลค่าการซื้อขาย 28,538.45 ล้านบาท เป็นการปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน

ฝ่ายสื่อสารองค์กร ตลท. แจ้งเพิ่มเติมว่า ในเวลา 13.30 น. นายจรัมพร เตรียมแถลงข่าวที่ห้องผู้สื่อข่าวตลาดหลักทรัพย์ถึงมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นการลงทุน ทั้งนี้ จากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 หุ้นไทยร่วงลงแรงตามต่างประเทศจนเกิดข้อตกลงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดเงินตลาดทุนตั้งแต่ ตลท. กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่าหากระดับดัชนีลดลงสู่ระดับ 4-5 % จะมีออกหนังสือเตือนผู้ลงทุนให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง ขณะที่หน่วยงานต่างๆ ก็เตรียมหารือมาตรการร่วมกัน เพื่อหาวิธีรับวิกฤตดังกล่าว ซึ่งมาตรการดังกล่าวถือเป็นมาตรการหนึ่งที่รองรับก่อนที่จะใช้การสั่งพักการซื้อขายชั่วคราว (เซอร์กิจเบรกเกอร์) ที่ใช้เมื่อดัชนีร่วงถึง 10%

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000121347

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

เทสโก้ โลตัส เตรียมจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาฯ มูลค่า 1.4 หมื่นล้าน



เทสโก้ โลตัส เตรียมจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาฯ มูลค่า 1.4 หมื่นล้าน

เทสโก้ โลตัส เตรียมจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาฯ มูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ขายนักลงทุนในประเทศ เตรียมดันศูนย์การค้า 15 แห่งเข้ากองทุน โดยเทสโก้จะเป็นผู้เช่าพื้นที่

บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (เทสโก้ โลตัส) ประกาศแผนจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อเสนอขายหน่วยลงทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก และจดทะเบียนหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของเทสโก้ โลตัส ในประเทศไทย

โดยเบื้องต้นคาดว่า กองทุนรวมนี้จะประกอบด้วยศูนย์การค้าทั้งหมด 15 แห่งกระจายตามทำเลที่ดีเยี่ยมทั่วประเทศ และมีมูลค่าประเมินของทรัพย์สินรวมกันมากกว่า 14,000 ล้านบาท ศูนย์การค้าเหล่านี้ประกอบด้วยศูนย์การค้าที่กองทุนรวมจะเป็นเจ้าของ (Freehold Assets) และศูนย์การค้าที่ได้รับสิทธิการเช่า (Leasehold Assets) ทั้งนี้ เทสโก้ โลตัส จะยังคงเช่าพื้นที่ไฮเปอร์มาร์เก็ตในศูนย์การค้าทั้ง 15 แห่งจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่อไป

เทสโก้ โลตัส จะถือหน่วยลงทุนไม่เกินร้อยละ 33 ในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามกฏเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และจะมีการเสนอขายหน่วยลงทุนต่อนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยด้วย

นายคริส บุช ประธานกรรมการบริหาร เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา เทสโก้ โลตัส เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกของไทยมาโดยตลอด โดยเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกแบบสมัยใหม่และนำเสนอสินค้าและบริการที่แปลกใหม่ เพื่อลูกค้าของเรา เราได้ลงทุนไปแล้วกว่า 130,000 ล้านบาท ปัจจุบันเรามีพนักงานกว่า 37,000 คนทั่วประเทศ และให้บริการลูกค้ากว่า 35 ล้านคนต่อเดือน

“การเสนอขายหน่วยลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้เราได้ลงทุนเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อประโยชน์ต่อลูกค้า เรายินดีที่ลูกค้า พนักงาน คู่ค้า และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ จะได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการเติบโตและความสำเร็จของเทสโก้ โลตัสต่อไป”

ทั้งนี้ เทสโก้ได้ยื่นคำขอจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว โดยการเสนอขายครั้งนี้จะเป็นการเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และจะเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีทรัพย์สินที่เป็นศูนย์การค้าที่มีทำเลครอบคลุมทั่วประเทศมากที่สุด ทั้งในกรุงเทพมหานคร จังหวัดสำคัญในภูมิภาคต่างๆ และเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ

อย่างไรก็ดี รายละเอียดและโครงสร้างสุดท้ายของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นี้จะขึ้นอยู่กับการอนุมัติของสำนักงาน ก.ล.ต.และสภาวะตลาด ซึ่งทางเทสโก้จะได้แจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมให้ทุกฝ่ายได้ทราบในโอกาสต่อไป

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000120451

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

กูรูแนะทยอยเก็บหุ้นตลาดเกิดใหม่ หลังศก.ยุโรป-สหรัฐฯยังน่าเป็นห่วง

กูรูแนะทยอยเก็บหุ้นตลาดเกิดใหม่ หลังศก.ยุโรป-สหรัฐฯยังน่าเป็นห่วง

นักวิเคราะห์กองทุนรวม แนะนักลงทุนชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง หลังวิกฤติหนี้ยุโรป และปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่มีท่าที่จะคลี่คลายลง พร้อมแนะนักลงทุนหาจังหวะทยอยสะสมกองทุนหุ้นในตลาดเกิดใหม่

นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เรายังคงมองเห็นโอกาสที่ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงจะผันผวนต่อจากสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนต่อการแก้ปัญหาในสหรัฐ/ยุโรป ซึ่งไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน โดยตลาดยังคงหวังมาตรการช่วยเหลือในระยะยาวเพื่อแก้ปัญหาหนี้ยุโรปและการว่างงานในสหรัฐต่อไป ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงช่วงระยะสั้นนี้ทำได้ยาก เราจึงแนะนำเพียง Wait and See ชะลอการลงทุนระยะสั้น และจับตาความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปและเศรษฐกิจสหรัฐอย่างใกล้ชิดต่อไป เช่นเดียวกับการลงทุนกองทุนทองคำ ที่เราคงคำแนะนำให้ชะลอการลงทุน และรอสะสมที่แนวรับสำคัญของราคาทองคำ

โดยมีแนวรับที่ 1,800 US$/oz. และ 1,700 US$/oz. กองทุนแนะนำยังคงเป็นกองทุนทองคำที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง TGoldBullion-Hedge จุดเด่นที่ทำให้เราแนะนำกองทุนทองคำของบลจ.ธนชาต คือ มีค่าใช้จ่ายกองทุนที่ไม่แพงและมีระยะเวลาการรับเงินจากการขายกองทุนที่รวดเร็ว (ระยะเวลาที่จะได้เงินคืนคือ T+1) นอกจากนั้นเรายังคงแนะนำ K-GOLD ของ บลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ.Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล) เป็นทางเลือกในการลงทุนกองทุนทองคำต่อไป สำหรับกองทุนน้ำมันเราแนะนำทยอยขายทำกำไรบางส่วน ราคาน้ำมันยังคงติดอยู่ที่แนวต้านระดับ 90 US$/bbl. แนวโน้มคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันยังคงอ่อนไหวกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว มีโอกาสปรับตัวลงได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ตามแม้ว่าระยะสั้นยังมีความผันผวนอยู่ แต่ระยะกลาง - ยาวมองเป็นโอกาสสะสมสินทรัพย์เสี่ยงที่ราคาปรับตัวลงมามาก เราจึงยังคงแนะนำทยอยสะสมหากเห็นดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง โดยเน้นไปยังกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า ขณะที่ภาระปัญหามีน้อยกว่าฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว และการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นอีกรอบมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า สำหรับกองทุนที่แนะนำให้ทยอยสะสมเมื่อราคาปรับตัวลดลงได้แก่ ABGEM และ ABAPAC สำหรับกองทุนจีนที่แนะนำยังคงเป็น ABCG คาดการณ์เงินเฟ้อจีนชะลอตัวในระยะถัดไป เป็นข่าวดีสำหรับการลงทุนในจีน

นอกจากนี้ เราคงคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนหุ้นกลุ่มอุตสหกรรมการเงิน (Financial Sector) ที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตหนี้ประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ยังคงชอบกองทุน Global Bond Fund ของ บลจ.ธนชาต, บลจ.ทหารไทย และบลจ.ซีไอเอ็มบี ซึ่งทั้งหมดใช้บริการกองทุนหลัก (Master Fund) เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นอาจได้รับผลกระทบจากค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐที่กลับมาแข็งค่าขึ้น แต่ระยะยาวเรายังเชื่อว่าการลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศที่ไม่มีปัญหาหนี้ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

สำหรับตลาดหุ้นไทย แนวโน้ม SET ยังแกว่งตัว Sideway ทิศทางไม่ชัดเจน เราคงคำแนะนำเดิมสำหรับนักลงทุน LTF ที่ต้องการลงทุนในปีนี้ ให้รอดูสถานการณ์ และเข้าทยอยสะสมเพิ่มหาก SET ปรับลดลงมาใกล้แนวรับ 1,030 และ 1,010 จุด โดยแนะนำกองทุนของบลจ.กรุงศรี กองทุนเปิดอยุธยาหุ้นระยะยาวปันผล (KFLTFDIV) ตามเดิม สำหรับนักลงทุนที่ได้สับเปลี่ยนกลับเข้าสู่กองทุน LTF ความผันผวนต่ำ (Defensive LTF) แล้วแนะนำ Wait and See ต่อไป






ที่มา
http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119949

ปัญหากรีซส่อแว่วดื้อยาต่อ ดันราคาทองพุ่งแต่หุ้นผันผวน

ปัญหากรีซส่อแว่วดื้อยาต่อ ดันราคาทองพุ่งแต่หุ้นผันผวน

บลจ.กสิกรไทยคาด วิกฤตหนี้ยุโรปยืดเยื้อ หลังกรีซส่อแว่วดื้อยา ทำตามเกณฑ์ไอเอ็มเอฟไม่ได้ ระบุหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยยังผันผวนต่อ แต่มั่นใจระยะยาวยังน่าลงทุน ขณะที่ราคาทองคำยังคงเป็นบวกสิ้นปีอาจแตะ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้

รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า มุมมองของบริษัทต่อสถานการณ์ในยุโรปคาดว่าน่าจะยังมีความยืดเยื้อและมีการติดตามถึงการแก้ไขปัญหาของประเทศในกลุ่มยุโรปอย่างใกล้ชิดและเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะยังเป็นปัจจัยที่กดดันดัชนีหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทยให้มีความผันผวนและไม่ได้ปรับขึ้นไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนปัจจัยภายในประเทศเราเชื่อว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่จะส่งผลบวกต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย การลงทุนในกองทุนหุ้นเพื่อทำกำไรระยะสั้นจึงเป็นไปได้ยาก แต่การลงทุนในระยะยาวแบบสะสมเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงอาจเป็นสิ่งที่น่าพิจารณา โดยเราคาดการณ์ SET Index อยู่ที่ 1,200 จุดในช่วงสิ้นปี สำหรับทองคำเรามีมุมมองที่เป็นบวกโดยเชื่อว่าจะอยู่ที่ระดับราคา 1,800 - 2,000 ณ สิ้นปี

ส่วนสาเหตุที่นักลงทุนยังให้ความกังวลกับสถาการณ์ของประเทศกรีซ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศกรีซก็ไม่ได้ปรับตัวดีขึ้น แม้จะได้รับเงินสนับสนุนจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2010 โดยจำนวนคนว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณร้อยละ 16 ในต้นปี 2011

อย่างไรก็ตามแม้ความช่วยเหลือดังกล่าวจะทำให้ตลาดคลายวิตกลงได้บ้างแต่จากข้อกำหนดที่ว่ากรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือก็ต่อเมื่อกรีซปฎิบัติตามแผนฟื้นฟูที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านั้นได้สร้างความวิตกกังวลให้กับตลาดอีกครั้งเมื่อรัฐบาลกรีซมีความล่าช้าในการปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูที่ตกลงไว้ (ซึ่งอาจทำให้กรีซไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจนถึงขั้นผิดนัดชำระหนี้หรืออาจต้องถอนตัวออกจากประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร)

ทั้งนี้ ธนาคารขนาดใหญ่สัญชาติฝรั่งเศสหลายแห่งที่มีการปล่อยกู้ให้แก่กรีซเป็นจำนวนมากอาจได้รับผลกระทบที่ร้ายแรงจากการที่กรีซไม่สามารถชำระหนี้ได้ และยังเกิดผลกระทบต่อเนื่องมายังสถาบันการเงินระดับโลกอีกหลายแห่ง เนื่องจากทั่วโลกและธนาคารในสหรัฐอเมริกาเกิดความไม่เชื่อมั่นในการปล่อยกู้ให้กับธนาคารในยุโรปอย่างเคย

ประเด็นข้างต้นได้ส่งผลบวกให้กับราคาทองคำพอสมควรแม้ว่าราคาทองคำจะถูกกดดันบ้างจากการที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนได้มองสินทรัพย์ 2 ประเภทดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง (Safe Haven) (ราคาทองปรับขึ้น 13% ตั้งแต่สิ้นเดือนกรกฎาคม 2011 จนปัจจุบัน)

เมื่อพิจารณาถึงประเทศไทยนั้น คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบทางตรงจากวิกฤตในยุโรปแต่อย่างใดเพราะธนาคารในประเทศไทยจัดว่าเกือบจะไม่มีสัดส่วนการปล่อยกู้ให้กับธนาคารในยุโรปเลย โดยธนาคารแห่งหนึ่งที่มีสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรยุโรปสูงที่สุดในประเทศมีสัดส่วนการลงทุนในภูมิภาคดังกล่าวไม่ถึง 1% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยนั้นน่าจะมีอยู่จำกัดหากวิกฤตครั้งนี้ได้รับการแก้ไขที่ดีหรือไม่ขยายวงกว้างจนเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงทั่วโลก โดย ณ ปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกของไทยไปยังยุโรปคิดเป็นเพียงประมาณ 10% ของสัดส่วนทั้งหมดเท่านั้น

ส่วนกองทุนรวมภายใต้การจัดการของ บลจ.กสิกรไทย ถึงแม้จะมีสัดส่วนการลงทุนในยุโรป แต่ก็ไม่มีสัดส่วนการลงทุนในประเทศกรีซ แต่จะลงทุนในประเทศในกลุ่มยุโรปที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง อาทิกองทุนเคโกลบอล อิควิตี้ (K-GLOBE) ซึ่งลงทุนในกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในตราสารทุนของประเทศต่างๆทั่วโลก จากข้อมูลล่าสุดกองทุน K-GLOBE มีสัดส่วนการลงทุนในยุโรปเฉพาะในประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง และมีสัดส่วนการลงทุนในยุโรปต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานถึงเท่าตัวโดยประมาณ ส่วนกองทุนเค โกลบอล อิเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ออพพอร์ทูนนิตี้ (K-GEMO) ที่ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ที่อยู่ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกมีการลงทุนในยุโรปเฉพาะในประเทศที่มิได้ประสบปัญหาวิกฤตหนี้สิน เช่น ตุรกี ฮังการี และอังกฤษ และเป็นสัดส่วนที่ไม่ถึง 15% ของขนาดกองทุน

ขณะที่กองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น (K-GA) ซึ่งเน้นการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ทั่วโลก แม้จะลงทุนทั่วโลกกว่า 900 หลักทรัพย์ แต่ก็ไม่มีสัดส่วนการลงทุนทั้งในกรีซ และยังให้น้ำหนักในหุ้น และตราสารหนี้ของภูมิภาคยุโรปต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานด้วย



ที่มา
http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119950

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

หุ้นไทยสัปดาห์หน้า ผันผวน-มีโอกาสปรับฐาน กลุ่มอสังหาฯ-รถยนต์ พยุงดัชนี

หุ้นไทยสัปดาห์หน้า ผันผวน-มีโอกาสปรับฐาน กลุ่มอสังหาฯ-รถยนต์ พยุงดัชนี

ค่ายรวงข้าวมองหุ้นไทย สัปดาห์หน้า ผันผวน-มีโอกาสปรับฐาน แนะจับตาปัญหาหนี้ยุโรปส่อเค้าวิกฤต ส่งผลให้สถานการณ์อาจเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ ขณะที่บางค่ายเชื่อหุ้นไทยผันผวนขาขึ้น เพราะอาจมีการเก็งกำไรหุ้นอสังหาฯ และรถยนต์ ขานรับข่าวนโยบายรัฐบาล ช่วยพยุงดัชนีหุ้นไทยไปต่อได้

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด และบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นไทย สัปดาห์หน้า (วันที่ 12-16 กันยายน 2554) โดยมองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสผันผวน และอาจเข้าสู่ช่วงปรับฐาน นักลงทุนควรต้องติดตามสถานการณ์หนี้ยุโรปอย่างใกล้ชิด ซึ่งรวมถึงการประมูลพันธบัตรอิตาลีในวันที่ 12 กันยายน 2554

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และความเชื่อมั่นผู้บริโภค ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจจีน

ขณะที่ตลาดคาดการณ์กันว่า ปัญหาหนี้ในยุโรปส่อเค้าเลวร้ายลง เพราะขาดองค์กรกลางที่จะเป็นเจ้าภาพเข้ามาจัดการ และรับมือวิกฤตภาคธนาคารที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางแห่งประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงไม่ถึงขั้นเลวร้าย เพราะอาจมีการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มยานยนต์ ซึ่งคาดว่ารัฐบาลน่าจะมีความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการลงทุนกระเตื้องขึ้นมาได้บ้าง


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000115137

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

บสก.รับซื้อหนี้SCB เข้าพอร์ต5.2พันล้าน ชูผู้นำฟื้นฟูเศรษฐกิจ

บสก.รับซื้อหนี้SCB เข้าพอร์ต5.2พันล้าน ชูผู้นำฟื้นฟูเศรษฐกิจ

บสก.ชูบทบาทผู้นำการบริหารหนี้-เอ็นพีเอ หวังฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว ล่าสุดรับซื้อ NPL จากSCB เข้ามาบริหารจัดการอีก จำนวน 5,298 ล้านบาท จากจำนวนลูกหนี้ 981 ราย คาดทั้งปีรับซื้อหนี้และทรัพย์รอการขายจากสถาบันการเงินอีกกว่า 20,000 ล้านบาท

วานนี้ (7 ก.ย.) นายสุเมธ มณีวัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) และนางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ได้ร่วมลงนามในสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) จำนวนมูลหนี้รวม 5,298 ล้านบาท จากจำนวนลูกหนี้ 981 ราย

โดยนายสุเมธ กล่าวว่า ลูกหนี้ส่วนใหญ่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล คิดเป็น 64% และเป็นลูกหนี้ที่อยู่ในเขตต่างจังหวัด 36% ทั้งนี้ในขั้นตอนต่อไป บสก.จะมีหนังสือแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ โดยพิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก และมุ่งเน้นวิธีการเจรจาประนีประนอมเพื่อหาข้อยุติที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย แม้จะเป็นหนี้ที่อยู่ในระหว่างการฟ้องร้องบังคับคดี บสก. ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลับมาเจรจาประนอมหนี้ได้ใหม่ โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ และส่งกลับคืนระบบเศรษฐกิจตามปกติต่อไป

" บสก.ทยอยรับซื้อรับโอนหนี้จากสถาบันการเงินมาแล้ว 4,275 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อเอ็นพีเอ มูลค่า 6,000 ล้านบาท คาดว่าจะทราบผลภายในสัปดาห์นี้ โดยก่อนหน้านี้ได้รับซื้อเอ็นพีเอจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มาบริหารอีก จำนวน 93 รายการ มูลค่า 675 ล้านบาท ดังนั้นในปีนี้ บสก. คาดว่าจะสามารถรับซื้อรับโอนทั้ง 2 ประเภทได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ " นายสุเมธกล่าว

ปัจจุบัน บสก. มีเอ็นพีเอ ในความดูแลทั้งสิ้น 44,286 ราย คิดเป็นมูลค่า 234,723 ล้านบาท ขณะที่มีเอ็นพีเอ จำนวน 14,173 ราย คิดเป็นมูลค่า 35,971 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์หลักของการรับซื้อทรัพย์สินจากธนาคารพาณิชย์มาบริหารจัดการ มุ่งเน้นการเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐที่จะช่วยแก้ปัญหาและลดหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงิน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000113728

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

แห่เทขายกดหุ้นไทยรูด15จุด ผิดหวังตัวเลขสหรัฐฯ กังวล ศก.สู่ช่วงถดถอย

แห่เทขายกดหุ้นไทยรูด15จุด ผิดหวังตัวเลขสหรัฐฯ กังวล ศก.สู่ช่วงถดถอย

นักลงทุนผิดหวังตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ จนกังวลเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยทั้งในอเมริกาและยุโรป แห่เทขายฉุดหุ้นไทยดิ่ง 15 จุด ตามตลาดอื่นในภูมิภาค โบรกฯมองปัจจัยในประเทศไร้ข่าวใหม่สนับสนุน อีกทั้งหุ้นใหญ่หลายตัว XD ประเมินวันนี้มีโอกาสอยู่ในแดนลบต่อ

ตลาดหุ้นไทย วานนี้ (5ก.ย.) ดัชนีผันผวนอยู่ในแดนลบ โดยปิดที่ระดับ 1,049.23 จุด ลดลง 15.95 จุด หรือ -1.50% มูลค่าการซื้อขาย 21,589.65 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,059.55 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,046.64 จุด ซึ่งเป็นการลดลงค่อนข้างมากเช่นเดียวกับตลาดภูมิภาคที่อยู่ในแดนลบถ้วนหน้า หลังตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯที่ประกาศออกมาไม่ดีนัก

โดยหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 111 หลักทรัพย์ ลดลง 376 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 117 หลักทรัพย์ และหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,942,94 ล้านบาท ปิดที่ 324.00 บาท ลดลง 4.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,084,01 ล้านบาท ปิดที่ 162.50 บาท ลดลง 4.50 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 933,03 ล้านบาท ปิดที่ 125.00 บาท ลดลง 3.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 904,94 ล้านบาท ปิดที่ 624.00 บาท ลดลง 16.00 บาท และ TOP มูลค่าการซื้อขาย 826,31 ล้านบาท ปิดที่ 65.00 บาท ลดลง 2.00 บาท

ทั้งนี้ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,931.12 ล้านบาท เช่นเดียวกับ สถบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ขายสุทธิ 184.98 ล้านบาท โดยมีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิ 3,548.96 ล้านบาท

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากขณะนี้มีความกังวลมากขึ้นถึงความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั้งในสหรัฐฯและยุโรป หลังตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆออกมาไม่ค่อยดี ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวลงเฉลี่ย 1% กว่า ส่วนด้านปัจจัยภายในประเทศ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รอเพียงความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของรัฐบาล

ทำให้ต้องรอดูทิศทางตลาดหุ้นยุโรปที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงอีก จากความกังวลที่ทางการสหรัฐฯได้ยื่นฟ้อง 17 สถาบันการเงินขนาดใหญ่ ซึ่งในนั้นมีสถาบันการเงินในยุโรปอยู่ด้วย กรณีที่ไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ในการขายตราสารซับไพรม์ให้กับหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดวิกฤตเมื่อตอนปลายปี 2551 ว่าจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทยมากน้อยแค่ไหน

น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์วานนี้ปิดลบกว่า 15 จุด จากปัจจัยในต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศการจ้างงานยังคงออกมาไม่ดีนัก ทำให้นักลงทุนมีความกังวลว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียต่างได้รับแรงกดดันกันถ้วนหน้า และตลาดหุ้นในภูมิภาคยุโรปเปิดตลาดมาต่างอยู่ในแดนลบเช่นเดียวกัน แต่คืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปิดทำการเนื่องจากวันแรงงานด้วย ส่วนปัจจัยในประเทศไม่มีอะไรใหม่ที่ช่วยผลักดันตลาดหุ้น ทำให้มูลค่าการซื้อขายน้อยอีกด้วย

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (6 ก.ย.) ประเมินว่าดัชนียังคงอยู่ในแดนลบต่อ เนื่องจากวันนี้มีหุ้นใหญ่หลายตัว XD ทั้ง PTT KBANK BAY ดังนั้นช่วงนี้แนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนหรือเก็งกำไรในหุ้นในวงจำกัด พร้อมให้แนวรับ 1,030 จุด แนวต้าน 1,055-1,059 จุด

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000112537

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ธปท.เผยตัวเลข ศก.ไทย เดือน ก.ค.ชะลอตัว ห่วงเงินเฟ้อเพิ่มในอัตราเร่ง

ธปท.เผยตัวเลข ศก.ไทย เดือน ก.ค.ชะลอตัว ห่วงเงินเฟ้อเพิ่มในอัตราเร่ง

ธปท.เผยตัวเลข ศก.ไทย เดือน ก.ค.ชะลอตัว คาดแค่ชั่วคราว มั่นใจว่าแนวโน้มไตรมาส 3 ปีนี้จะขยายตัวได้ดี ส่วนเงินเฟ้อปรับตัวสูงต่อเนื่อง เป็นผลจากภาคเกษตรและอุตสาหกรมชะลอตัว รวมถึงการบริโภคในประเทศ แม้การลงทุนยังขยายตัวดี การส่งออกก็ขยายตัวดี จับตาลดราคาน้ำมัน เพิ่มอัตราเร่งเงินเฟ้อ

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงภาวะเศรษฐกิจเดือนกรกฎาคม 2554 โดยพบว่า ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (PCI) ขยายตัวร้อยละ 2.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ รวมทั้งปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินที่ลดลงจากการปรับขึ้นราคา

นอกจากนี้ ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์เนื่องจากภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ขณะที่การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค และยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถยนต์เชิงพาณิชย์ยังขยายตัวต่อเนื่อง

ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (PII) ขยายตัวร้อยละ 6.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์กลับมาขยายตัวร้อยละ 10.1 หลังจากหดตัวใน 2 เดือนก่อน เพราะปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนนำเข้าจากญี่ปุ่น

ขณะที่เครื่องชี้รายการอื่นขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งปริมาณนำเข้าสินค้าทุน พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล และปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ สอดคล้องกับสินเชื่อภาคธุรกิจที่เร่งขึ้นต่อเนื่องที่ร้อยละ 16.0 สำหรับภาครัฐยังมีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยขาดดุลเงินสด 38.6 พันล้านบาท

โดยภาพรวม การผลิตทั้งภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวลดลง ส่วนอุปสงค์ในประเทศชะลอลง โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกและการท่องเที่ยวขยายตัวดี สำหรับอัตราเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อและต้นทุนยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

"เศรษฐกิจเดือนกรกฎาคมขยายตัวชะลอลง เป็นผลจากภาคเกษตรและอุตสาหกรมชะลอตัว รวมถึงการบริโภคในประเทศ แม้การลงทุนยังขยายตัวดี การส่งออกก็ขยายตัวดี แต่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงจากการคาดการณ์เงินเฟ้อล่วงหน้าสูงขึ้น บวกกับต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม มองไปข้างหน้ายางรถยนต์และอุตสาหกรรมจะลัลบมาขยายตัวดี"

ส่วนอัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคม 2554 ที่ขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 2.1 จากระยะเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากเดือนที่แล้ว ร้อยละ 3.4 เป็นผลจากผู้บริโภคชขะลอการใช้จ่ายเพื่อรอนโยบายภาครัฐบาลใหม่ชัดเจนก่อน โดยเฉพาะนโยบายที่หาเสียงไว้ทั้งการสนับสนุนผู้มีบ้านหลังแรกและรถยนต์คันแรก รวมทั้งเป็นผลจากรายได้เกษตรกรลดลงด้วย แต่คาดว่าระยะต่อไปจะเห็นการกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว โดยเฉพาะการบริโภค

"ภาวะการผลิต การบริโภคที่ชะลอตัวลงในเดือนนี้น่าจะเป็นแค่ภาวะชั่วคราว เพราะการบริดภคชะรอ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายได้ภาคเกษตรหดตัว และผู้บริโภคเองก็รอความชัดเจนของนโยบายจากภาครัฐ อย่างการซื้อบ้านหลังแรก ซื้อรถยนต์คันแรก ซึ่งสถานการณ์นี้น่จะเกิดชั่วคราว คาดว่าในระยะต่อไปน่าจะคลี่คลายได้ เพราะจากข้อมูลเบื้องต้นธปท.ยังเชื่อว่าการขยายตัวในไตรมาส 3 ปีนี้ น่าจะดีกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา"

นายเมธี กล่าวอีกว่า ขณะนี้ ธปท.อยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบจากนโยบายปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันด้วยการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันทันที อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นมองว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จะเป็นประชาชนรายย่อยไม่ใช่ผู้ผลิต ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะมีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวจากการบริโภคน้ำมันที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังพบว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 3,574 ล้านดอลลาร์ ดุลการชำระเงินเกินดุล 541 ล้านดอลลาร์ และเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับมั่นคง

ทั้งนี้ อุปสงค์ต่างประเทศขยายตัวดีทั้งการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยว โดยการส่งออกมีมูลค่ารวม 21,098 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 36.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน (หากไม่รวมทองคำ การส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 30.2) เป็นการขยายตัวในทุกกลุ่มสินค้า ที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวและยางพาราขยายตัวดีทั้งด้านปริมาณและราคา ยานยนต์ส่งออกได้มากขึ้น หลังปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนคลี่คลาย พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติกขยายตัวดีตามอุปสงค์จากจีนและอาเซียน

สำหรับการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมีจำนวน 1.6 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 21.5 เป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียและรัสเซียเป็นสำคัญ

การลดลงของภาคอุตสาหกรรมและการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศ ส่งผลให้การนำเข้าขยายตัวชะลอลงที่ร้อยละ 13.1 (หากไม่รวมทองคำ การนำเข้าจะขยายตัวร้อยละ 21.1) เป็นการชะลอลงตามการนำเข้าในหมวดวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบสำหรับผลิตพลาสติกที่หดตัวตามการปิดซ่อมบำรุงในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ และการนำเข้าในหมวดยานยนต์ที่หดตัวตามการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป ขณะที่การนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ทยอยเพิ่มขึ้นเข้าสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าในหมวดอื่นยังขยายตัวดี โดยเฉพาะหมวดเชื้อเพลิงที่เร่งตัวขึ้นหลังจากปิดปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันในเดือนก่อน


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000110055

"ธีระชัย" ใส่เกียร์ลุยงาน ธปท. ลดกรอบเงินเฟ้อ-เฉือนทุนสำรองฯ ตั้งกองทุนมั่งคั่ง

"ธีระชัย" ใส่เกียร์ลุยงาน ธปท. ลดกรอบเงินเฟ้อ-เฉือนทุนสำรองฯ ตั้งกองทุนมั่งคั่ง

"ธีระชัย" เดินหน้าขยี้ "ประสาร" มอบการบ้านโหด 4 เรื่อง จี้เคาะกรอบเงินเฟ้อปี 55 แคบลง แยกทุนสำรองฯ บางส่วน ตั้งกองทุนมั่งคั่ง เร่งลดภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ และโยกงานกำกับตั๋วบีอีไปให้ ก.ล.ต. ขีดเส้นคำตอบภายใน 1 เดือน

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังหารือกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยระบุว่า ตนเองได้สั่งให้ผู้ว่าการ ธปท. ดำเนินการใน 4 เรื่องสำคัญ พร้อมกำชับให้หาข้อสรุปกลับมารายงานในเดือนหน้า

โดยเรื่องที่ 1 ตนเองได้ขอให้ ธปท. ไปศึกษาการตั้งกองทุนความมั่งคั่ง โดยให้นำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนหนึ่งออกมาจัดตั้ง ให้มีการแยกบัญชีต่างหาก ซึ่งอาจจะต้องมีการแก้กฎหมายเพื่อให้นำเงินทุนสำรองออกมาใช้

สำหรับการตั้งกองทุนมั่นคั่ง จะเป็นการบริการร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับ ธปท. โดยต้องมีข้อตกลงว่า กำไรจะนำไปทำอะไร และขาดทุนใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

นอกจากนี้ การตั้งกองทุนมั่นคั่ง ต้องการให้ไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเอเชีย ส่วนขนาดกองทุนจะเป็นอย่างไร จะลงทุนรูปแบบไหน สัดส่วรเท่าไร ได้ให้ ธปท. ไปศึกษา

นายธีระชัย กล่าวว่า การบริหารเงินทุนสำรองของ ธปท. ปัจจุบันได้รับผลตอบแทนน่อย และไปลงทุนในสกุลที่มีแนวโน้มการพิมพ์เงินออกมาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้มูลค่าสกุลดังกล่าวลดลง ดังนั้นการบริหารจึงต้องคำนึงถึงผลตอบแทน ดูวิธีการบริหารใหม่ให้มีความสมทั้งในแง่ของความปลอดภัย ผลตอบแทน และความถูกต้องในเชิงวิชาการ

เรื่องที่ 2 ให้หาแนวทางการแก้ไขหนี้กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่เดิมมีจำนวน 1.1 ล้านล้านบาท แต่ ธปท.ชำระหนี้เงินต้นได้เพียง 1.6 แสนล้านบาท ขณะที่คลังชำระดอกเบี้ยไป 6.7 แสนล้านบาท มีเงินต้นที่เหลืออีก 1.1 ล้านล้านบาท ที่ ธปท. ยังชำระไม่ได้และเป็นภาระกับงบประมาณ

เรื่องที่ 3 ต้องการให้ ธปท. เข้าไปกำกับการดูการออกตั๋วสัญญาใช่เงินระยะสั้น (ตั๋วบีอี) ของธนาคารพาณิชย์ ที่มีการขยายตัวจำนวนมาก เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาทำให้เกิดความเสียหายและมาเป็นภาระทางการคลัง โดยในเรื่องนี้ได้ นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นประธานคณะทำงานหารือกับ ธปท. สถาบันคุ่มครองเงินฝาก และ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยส่วนตัวแล้ว ต้องการให้โอนการกำกับดูแลตั๋วบีอีไปไว้ที่ ก.ล.ต.

เรื่องที่ 4 ขอให้ ธปท. ทบทวนกรอบเงินเฟ้อที่ประกาศใช้ใหม่ปี 2555 โดยให้คำถึงปัจจัยภาวะเศรษฐกิจในและนอกประเทศ รวมถึงแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการ และค่อยมาดูว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเท่าไร เงินเฟ้อจะอยู่ระดับไหน ถึงค่อยกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ

สำหรับกรอบเงินเฟ้อที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ 0.5-3.0% ต่อปี ถือว่ากว่างเกินไป ทำให้ ธปท. ไม่ค่อยกังวลดูแลเงินเฟ้อตอนที่อยู่ในระดับต่ำ ได่มอบให้ สศค. และ ธปท. ไปศึกษาใหม่อีกครั้ง เพื่อให้มีความท้าทายในการบริหารเงินเฟ้อมากขึ้น


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000110090

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"ซีมิโก้"รุกกองทุนส่วนบุคคล หวังจัดตั้งกองทุนให้รัฐมนตรีขั้นต่ำ

"ซีมิโก้"รุกกองทุนส่วนบุคคล หวังจัดตั้งกองทุนให้รัฐมนตรีขั้นต่ำ10ล้าน

บลจ. ซีมิโก้ ปรับแผนกองไพรเวทฟันด์ เน้นจับกลุ่มลูกค้าเฉพาะราย เช่น นักลงทุนเกาหลีที่ชอบลงทุนในไทย และจัดตั้งกองทุนให้รัฐมนตรี ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ด้านประชาสัมพันธ์รุกขยายช่องทางการเติบโตผ่านโซลเชียลมีเดียร์ สร้างเซลล์ขึ้นเองและตัวแทนจำหน่าย

นายไววิทย์ อุทัยเฉลิม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ซีมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินงานกองทุนรวมส่วนบุคคล หรือไพรเวทฟันด์ ต่อจากนี้ไปบริษัทจะเน้นเป็นกองทุนหุ้นเป็นหลัก เพราะเรามีทีมงานที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญ โดยจะเน้นกลุ่มเน้นจับกลุ่มเฉพาะลูกค้าบางราย ซึ่งได้เริ่มมีการพูดคุยกับนักลงทุนเกาหลีใต้ที่จะเข้ามาลงทุนในไทยในลักษณะของ Private Equity มูลค่าประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติอื่น ๆ ด้วยที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในลักษณะเดียกวัน

นอกจากนี้ บริษัทเองยังมีการจัดตั้งกองทุนให้กับรัฐมนตรีบางรายที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีและมีความสนใจให้บริษัทจัดตั้งกองทุนให้ ซึ่งขณะนี้เริ่มมีการพูดคุยกันแล้วประมาณ 1 - 2 ราย ซึ่งบริษัทเองมีความตั้งใจที่จะจัดกองทรัพย์สินให้ซึ่งถูกต้องตามกฎหมายและเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน หากนักการเมืองบางรายจะให้ความสนใจอีกบริษัทยินดีและพร้อมดูและกองทุนให้

สำหรับนักลงทุนในกองทุนไพรเวทฟันด์ที่จะให้เราดูแลต้องมีเงินขั้นต่ำไม่น้อยไปกว่า 10 ล้านบาท เนื่องจากว่า บริษัทของเราเองมีบริษัทแม่ที่เป็น บริษัทหลักทรัพย์ ดังนั้นกลุ่มลูกค้าจึงจะเป็นเฉพาะบางรายที่เลือกเข้ามาลงทุนเอง รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วด้วย

"การทำงานของกองทุนรวมส่วนบุคคลต่อจากนี้ไปจะเป็นเฉพาะกลุ่มมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ก็มีนักการเมืองท่านหนึ่งที่มีความต้องการจะให้เราเข้าไปดูแลทรัพย์สินให้ ซึ่งเราก็พร้อมและยินดีที่จะดูแลให้แต่ต้องอยู่ในความดูต้องและโปร่งใส่ ให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนี้กองทุนส่วนบุคคลอีกกองที่ผมจะทำคล้าย ๆ อิควิตี้เวนเจอร์เแคปพวกแมสชิ่งฟันด์ ซึ่งเราก็มีทาร์เก็ตอยู่แล้วที่เราจะเปิดภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเป็นการเปิดในวอลุ่มที่หายไป"

นายไววิทย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องของการทำประชาสัมพันธ์ในกองทุนของบริษัทนั้น บริษัทได้ดูในเรื่องของโซลเชียลมีเดียร์ เพราะก่อนหน้านี้ตัวผมเองมีประสบการณ์ด้านนี้มาพอสมควร ซึ่งจะทำให้เราบริหารพอร์ตได้เป็นอย่างดี และมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทจะนำเอากลุ่มที่ชอบมาลงทุนเพิ่มในกองทุนที่นักลงทุนอยู่ก่อนหน้านี้เพื่อมาลงทุนเพิ่ม เพราะมองว่าเงินเดือนของนักลงทุนมีการปรับเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นบริษัทมีฐานข้อมูลของลูกค้าในการลงทุนอยู่ บริษัทจะทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ต่อไป

นอกจากนี้หลักการทำการตลาดของบริษัท ยังคงเน้นขายกองทุนผ่านตัวแทนจำหน่าย และสร้างเซลล์ขึ้นมาเอง ในการเสนอขายกองทุนต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วแผนการตลาดในปีหน้าบริษัทเตรียมรุกด้านมีเดียร์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย

ที่มา
http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103211

TFEX ปรับเพิ่มมาร์จิ้น SET50 และ Gold Futures ดีเดย์ 19 ส.ค.นี้

TFEX ปรับเพิ่มมาร์จิ้น SET50 และ Gold Futures ดีเดย์ 19 ส.ค.นี้

ตลาดอนุพันธ์เผยสำนักหักบัญชีเตรียมปรับเพิ่มอัตราหลักประกันสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือมาร์จิ้น (margin) สำหรับฟิวเจอร์ส ของดัชนี SET50 (SET50 Index Futures) และโกลด์ฟิวเจอร์สเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้น โดยจะเริ่มใช้อัตราหลักประกันใหม่ เริ่มตั้งแต่ 19 ส.ค.นี้

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX แจ้งว่า จากปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและยุโรปในช่วงที่ผ่านมาทำให้ผู้ลงทุนเกิดความไม่มั่นใจและมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนโดยหันมาถือครองทองคำซึ่งจัดเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงขึ้น ส่งผลให้การซื้อขายหลักทรัพย์และทองคำมีความคึกคักแต่ผันผวนอย่างมากและทำให้สำนักหักบัญชีต้องพิจารณาปรับเพิ่มอัตราหลักประกันของฟิวเจอร์สของดัชนี SET50 (SET50 IndexFutures) และโกลด์ฟิวเจอร์สตามสภาพความผันผวนของตลาด โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค. 54 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ การปรับหลักประกันดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ลงทุนทั่วไปต้องวางหลักประกันของฟิวเจอร์สของดัชนี SET50 เพิ่มขึ้นจาก 38,000 บาทต่อสัญญา เป็น 53,200 บาทต่อสัญญา โกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 50 บาททองคำ จาก 47,500 บาทต่อสัญญา มาเป็น 62,700 บาทต่อสัญญา และโกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 10 บาททองคำ จาก 9,500 บาทต่อสัญญา มาเป็น 12,540 บาทต่อสัญญา สำหรับอัตราหลักประกันของซิลเวอร์ฟิวเจอร์สของผู้ลงทุนทั่วไปนั้น จะปรับลดลงจาก29,450 บาทต่อสัญญามาเป็น 21,850บาทต่อสัญญาในขณะที่ฟิวเจอร์สของหุ้นรายตัวมีทั้งการปรับเพิ่มและลดอัตราหลักประกันในบางหุ้นอ้างอิง

"การปรับเปลี่ยนอัตราหลักประกันนั้น เป็นวิธีการที่สำนักหักบัญชีดำเนินการเป็นปกติ โดยจะปรับอัตราหลักประกันขึ้นหากราคาฟิวเจอร์สมีความผันผวนสูงขึ้น ในทางตรงข้ามหากความผันผวนของราคาฟิวเจอร์สลดลงก็จะปรับลดอัตราหลักประกันลงซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการปรับขึ้นและปรับลดอัตราหลักประกันของฟิวเจอร์สทั้ง 2 ประเภทมาแล้ว อย่างไรก็ดีการปรับหลักประกันในครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงในอัตราที่ค่อนข้างสูงจึงต้องการให้ผู้ลงทุนรับทราบข้อมูลและเตรียมการในเรื่องเงินประกันไว้เป็นการล่วงหน้า" นางเกศรากล่าว

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103903

น้ำมันดิ่งเหว $5 - หุ้นสหรัฐฯ ปิดลบแรง กังวล ศก.ถดถอยซ้ำซ้อน

น้ำมันดิ่งเหว $5 - หุ้นสหรัฐฯ ปิดลบแรง กังวล ศก.ถดถอยซ้ำซ้อน

เอเอฟพี - ราคาน้ำมันตลาดนิวยอร์กดิ่งลงกว่า 5 ดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี (18) หลังนักลงทุนหวั่นผวาต่อคำเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำซ้อนที่อาจกัดเซาะอุปสงค์ทางพลังงาน และปัจจัยดังกล่าวก็ฉุดให้วอลล์สตรีทปิดลบแรงเช่นกัน

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 5.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 82.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 3.61 ดอลลาร์ ปิดที่ 106.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ความเคลื่อนไหวของตลาดน้ำมันมีขึ้นหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ ธนาคารเพื่อการลงทุนในสหรัฐฯ ออกรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (18) ว่าวอชิงตันและยุโรปมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเจอภาวะถดถอยรอบใหม่ ขณะเดียวกันก็คาดหมายว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ “บริกส์” จะเติบโตน้อยกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ในเบื้องต้น

รายงานความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบใหม่ในสหรัฐฯ และยุโรปของธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ ยังส่งผลให้วอลล์สตรีทวานนี้ (18) ปิดลบอย่างแรง

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 419.63 จุด (3.68 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 10,990.58 จุด แนสแดค ลดลง 131.05 จุด (5.22 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,380.43 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 53.23 จุด (4.46 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,140.65 จุด


ที่มา
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103972

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

4สินค้าจ่อคิวขึ้นราคา

4สินค้าจ่อคิวขึ้นราคา

พาณิชย์จนมุมต้นทุนพุ่ง ทีดีอาร์ไอไล่บี้รัฐเลิกคุม

นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้ากรมจะเรียกประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาราคาผลิตภัณฑ์นมสดพร้อมดื่ม และปุ๋ยเคมี หลังจากสินค้าทั้ง 2 รายการมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น จนผู้ผลิตแจ้งขอปรับราคาเข้ามา โดยการพิจารณาผลิตภัณฑ์นมสดคาดว่าจะอนุมัติให้นมสดพาสเจอร์ไรซ์และนมยูเอชทีขนาดเล็กขึ้นราคาไม่เกิน 25 สต.ต่อกล่องหรือขวด ส่วนขนาดใหญ่จะอนุมัติให้ปรับราคาตามสัดส่วน ซึ่งเป็นผลจากมติ ครม.ที่อนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำนมดิบอีก กก.ละ 1 บาท จาก 17 บาท เป็น 18 บาท เมื่อรวมกับการปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบ 50 สต.ช่วงปลายปีที่แล้ว ทำให้ต้นทุนน้ำนมดิบปรับขึ้นราคามาแล้วถึง 1.50 บาท

ส่วนการพิจารณาปุ๋ยเคมีจะอนุมัติให้ขึ้นราคาบางสูตร โดยผู้ผลิตปุ๋ยยูเรียขอปรับขึ้นราคามา 3 สูตรเฉลี่ย 8-10% แต่การพิจารณาอาจไม่ยอมให้ปรับราคาตามที่ผู้ประกอบการเสนอมาทั้งหมด เพราะเกรงว่าจะกระทบกับเกษตรกรผู้ใช้ปุ๋ยมากเกินไป ส่วนสินค้าเหล็กและน้ำมันถั่วเหลือง ยังไม่เรียกประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาในเร็วๆ นี้ เพราะขอดูสถานการณ์ต้นทุน และปริมาณสินค้าอย่างละเอียดก่อน

นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการดูแลราคาสินค้าหลังหมดมาตรการตรึงราคาในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ประเมินว่าสินค้าส่วนใหญ่ยังตรึงราคาต่อ โดยขณะนี้บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ได้ยืนยันจะตรึงราคาต่อไปจนถึงไตรมาส 3 ดังนั้นผู้ประกอบการรายอื่นที่ยื่นขอปรับเข้ามาในส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคก็น่าจะตรึงราคาต่อไปได้

อย่างไรก็ตามจะมีเพียงสินค้า 4 รายการ คือ นม ปุ๋ยเคมี เหล็ก และน้ำมันถั่วเหลืองเท่านั้น ที่อาจมีการพิจารณาให้ปรับราคา เพราะต้นทุนสูงขึ้นจริง

สำหรับสินค้าน้ำตาลทรายบรรจุถุงขนาด 1 กก.นั้น กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมกำลังเร่งหารือกับโรงงานน้ำตาลทราย และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุป ก่อนเสนอ
ครม.พิจารณาในสัปดาห์หน้า ซึ่งหากครม.ไม่อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย จะต้องมีแนวทางให้กระทรวงพาณิชย์ว่าจะแก้ไขปัญหาน้ำตาลทรายบรรจุถุงขาดแคลนอย่างไร เพราะต้นทุนถุงปรับขึ้นจริง หรือขึ้นมาอยู่ที่ถุงละ 1.30 บาท แต่กระทรวงพาณิชย์ขอให้ผู้ประกอบการตรึงราคาไว้ที่ 75 สตางค์เท่าเดิม เพื่อไม่ให้กระทบราคาน้ำตาลขายปลีก ซึ่งจะกระทบกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและประชาชนในประเทศมากเกินไป

สำหรับสินค้าน้ำมันปาล์มบรรจุขวด ในวันที่ 30 มี.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งจะมีการทบทวนการชดเชยน้ำมันปาล์ม 40,000 ตัน ให้โรงกลั่นรับซื้อผลผลิตในประเทศ โดยให้รัฐชดเชย กก.ละ 2.50 บาท ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ เพราะขณะนี้สถานการณ์เริ่มกลับเข้าภาวะปกติ อาจไม่มีความจำเป็นต้องชดเชย

นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า รัฐบาลต้องรีบยกเลิกนโยบายการควบคุมราคาสินค้าโดยเร็วที่สุดและปล่อยให้กลับสู่ระบบเสรี โดยมีระบบประกันความเสี่ยงให้เกษตรกรหรือคนจน ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องกำกับดูแลไม่ให้เกิดการค้าที่ผูกขาดในสังคมด้วย เพราะที่ผ่านมาประชาชนโดยเฉพาะคนจนต้องได้รับความเดือดร้อนจากการคุมราคาสินค้า เนื่องจากมีการกักตุนสินค้าไว้เก็งกำไรจำนวนมากจนนำไปสู่ปัญหาขาดแคลน เห็นได้จากเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา น้ำมันปาล์มและน้ำตาลขาดแคลนที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดอย่างมาก

ทั้งนี้รัฐบาลต้องปล่อยให้ราคาสินค้าลอยตัวโดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร ขณะเดียวกันก็จำกัดการช่วยเหลือเฉพาะคนที่ยากจนจริง ๆเท่านั้นโดยจัดกลุ่มให้ชัดเจน ให้มีการลงทะเบียนให้ถูกต้องแล้วสร้างระบบดูแลเป็นการเฉพาะ เช่นจัดทำคูปองเพิ่มรายได้ให้นอกเหนือจากรายได้ที่ได้รับอยู่ในปัจจุบัน แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะให้การช่วยเหลือแบบให้เปล่าเช่นในปัจจุบันแต่ต้องให้คนเหล่านี้ทำงานแลก

สำหรับคนที่ไม่มีความรู้หรือไม่มีอาชีพนั้น อยากเสนอให้ภาครัฐจัดให้มีการฝึกอบรมอาชีพให้คนเหล่านี้มีทักษะสามารถประกอบอาชีพได้ด้วย ไม่ใช่ให้การช่วยเหลือแบบเหวี่ยงเป็นการทั่วไป เช่นที่เคยทำมาในอดีต เพราะทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณในการดูแลเป็นจำนวนมาก แต่ทั้งนี้เมื่อเทียบกับมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้ว กลับไม่คุ้มค่าแต่อย่างใด.


ที่มา
เดลินิวส์

RSเหนือแกรมมี่ทีวีดาวเทียมฉลุยรายได้ปีนี้400ล้าน

RS รุกฆาตทีวีดาวเทียม GRAMMY โอ่ช่อง YOU CHANNEL เรตติ้งพุ่งแซง BANG CHANNEL ถอยหลังไม่เอาลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโร ชี้ไม่คุ้มที่จะทุ่มลงทุน ลุยเปิดตัวช่อง 8 อินฟินิตี้ ใช้งบลงทุน 100 ล้านบาท ถึงจุดคุ้มทุนภายในสิ้นปี ลั่นธุรกิจขาขึ้นสุดขีดรายได้ทีวีดาวเทียมทั้งปีทะยาน 400 ล้านบาท



นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจทีวีดาวเทียมของบริษัทมีอัตราการเติบโตและได้รับความนิยมจากผู้ชมในระดับสูง โดยเฉพาะช่อง YOU CHANNEL ซึ่งมีเรตติ้งสูงกว่าช่อง BANG CHANNEL ของทางแกรมมี่ในกลุ่มช่องเพลง ขณะที่ สบายดี ทีวี ยังมีอัตราเรตที่สูสีกับช่อง FAN TV

“ตอนนี้ธุรกิจทีวีดาวเทียมของเรายังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และได้ผ่านจุดคุ้มทุนมาแล้ว โดยอย่างช่อง YOU CHANNEL ก็มีอัตราเรตที่สูงมากกว่า BANG CHANNEL ไปแล้วในกลุ่ม MUSIC ส่วนช่อง สบายดี ทีวี ยังคงสูสีกับ FAN TV อยู่” นางพรพรรณ กล่าว

โดยนางพรพรรณ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับกรณีลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโรครั้งล่าสุด ทางบริษัทจะไม่ได้เป็นผู้รับบริหารจัดการ เพราะมองว่าไม่คุ้มที่จะทุ่มลงทุนมากนัก และในครั้งนี้ทางแกรมมี่เป็นผู้ได้ลิขสิทธิ์และใช้เม็ดเงินสูงกว่าราคาที่ RS ยื่นไปประมาณ 50-60%

สำหรับภาวะอุตสาหกรรมทีวีดาวเทียมที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง RS จึงได้ประกาศเปิดตัวสถานีโทรทัศน์ทีวีดาวเทียม ช่อง 8 อินฟินิตี้ ฟรีทีวีคอนเทนต์เกรดเอ ซึ่งใช้งบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท และจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนภายในสิ้นปี โดยหลังจากที่บริษัทได้ทดลองออกอากาศในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีกระแสตอบรับจากทางผู้ชมและลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบันได้มีลูกค้าบางส่วนที่เข้ามาลงโฆษณาในช่อง 8 แล้ว จึงคาดการณ์รายได้จากธุรกิจทีวีดาวเทียมทั้งปีจะเติบโตถึง 400 ล้านบาท

ทั้งนี้ ช่อง 8 อินฟินิตี้ จะเป็นวาไรตี้ 24 ชั่วโมง เน้นผลิตและสร้างสรรค์ความบันเทิงเสนอแก่ผู้รับชม โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในสิ้นเดือนมีนาคม ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ละครใหม่ของบริษัท พร้อมด้วยภาพยนตร์ดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซีรี่ย์ รายการข่าว เกมโชว์ ทอล์กโชว์ เรียลลิตี้โชว์ ให้ผู้ชมเต็มอิ่มตลอด 24 ชั่วโมง ในเฟสของละครคาดว่าน่าจะพร้อมออกอากาศในเดือนพฤษภาคมนี้

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมที่จะเปิดตัวช่องทีวีดาวเทียมเพิ่มอีก 2 ช่อง ได้แก่ช่อง YAAK ที่จะใช้เงินลงทุน 60-70 ล้านบาท มีโอกาสคุ้มทุนภายในสิ้นปีเช่นกัน และอีกช่องจะเป็นเกี่ยวกับช่องช็อปปิ้งรวมถึงยังมีแผนที่จะเปิดตัวช่องกีฬา ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล

“ช่อง 8 อินฟินิตี้ เราใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท เชื่อว่าจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในสิ้นปี และขณะนี้ก็มีลูกค้าบางส่วนเข้ามาลงโฆษณากันแล้ว ส่วนช่อง YAAK จะเปิดตัวในช่วงเดือนกรกฎาคม ใช้งบลงทุน 60-70 ล้านบาท คุ้มทุนในสิ้นปีเช่นกัน ส่วนช่องช็อปปิ้งและกีฬา ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา สำหรับอุตสาหกรรมทีวีดาวเทียมคาดว่าในปี 2554 จะมีเม็ดเงินเติบโตมากถึงระดับ 3,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่ง 5% จากเม็ดเงินโฆษณาของโทรทัศน์รวม 60,000 ล้านบาท และจะเติบโตขึ้นสู่ระดับ 6,000 ล้านบาท ภายในปี 55” นางพรพรรณ กล่าว

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/54 จะมีแนวโน้มรายได้และกำไรมากกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 535 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 52 ล้านบาท หลังจากได้ปัจจัยหนุนจากการเติบโตของธุรกิจคอนเทนต์ ธุรกิจดิจิตอล ธุรกิจมีเดีย รวมถึงทีวีดาวเทียม และยังคงตั้งเป้ารายได้ทั้งปีเติบโตขึ้นสู่ระดับ 3,100 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ได้ 2,917 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าเรื่องกองทุนสนใจซื้อหุ้น RS นางพรพรรณกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามีกองทุนที่ให้ความสนใจ แต่ยังคงไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากกองทุนต้องการซื้อหุ้นโดยตรงจากบริษัท ขณะที่ผู้บริหารอย่างนายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไม่ได้มีความสนใจที่จะขายหุ้นออกมา รวมถึงไม่มีแผนที่จะออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่นยังคงไม่สามารถตอบแทนได้ว่าจะขายหุ้นให้กับกองทุนหรือไม่

ที่มา
ข่าวหุ้น

หุ้นแบงก์วิ่งกระฉูด ขานรับฝรั่งรุมตอม และดอกเบี้ยขาขึ้น

หุ้นแบงก์วิ่งกระฉูด ขานรับฝรั่งรุมตอม และดอกเบี้ยขาขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวขึ้นแรงในวันนี้ โดยล่าสุด ณ เวลา 11.45 น.ราคาหุ้น BBL บวก 5 บาท SCB บวก 2 บาท KTB บวก 1.5 บาท KBANK บวก 1.5 บาท TMB บวก 0.04 บาท BAY บวก 0.40 บาท

บล.ทรีนีตี้ระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ ภาพของธุรกิจ บจ.น่าจะสะท้อนในรูปกำไรที่เติบโตได้มากในปี 2554 โดยเฉพาะ Real Sector กลุ่มธนาคาร KTB, SCB, KBANK มีแนวโน้มที่จะ Outperform ตลาดจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

วานนี้นายธีระพงษ์ วชิรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีการนำเสนอข้อมูลต่อผู้ลงทุน และได้รับความสนใจมากที่สุด คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ รองลงมา ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งมีแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่เป็นบวก อันดับสาม ได้แก่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสนใจใกล้เคียง กับกลุ่มพลังงาน ในขณะที่กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาว

นอกจากนี้ กลุ่มเกษตรและอาหาร ถือว่ามีผลประกอบการที่ดีตั้งแต่ปีก่อน และคาดว่าจะยังคงต่อเนื่อง จากราคายางที่ปรับตัวดีขึ้น และราคาอาหาร เช่น ไก่ ทำให้เป็นหุ้นที่โดดเด่นอีกกลุ่ม

ที่มา
ข่าวหุ้น

ดัชนีอุตฯเดือน ก.พ.หล่น 3.43% หวั่นวิกฤตญี่ปุ่นกระทบตัวเลข 1-2 เดือนหน้า

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ก.พ.ลดลง 3.43% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน หลังการผลิต Hard Disk Drive และการกลั่นน้ำมันชะลอตัว เนื่องจากผู้ประกอบการปิดโรงกลั่นซ่อมบำรุงเครื่องจักรประจำปี ส่วนการผลิตกลุ่มยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยังขยายตัว แต่เตือนให้ระวังปัญหาสึนามิญี่ปุ่น ส่งผลกระทบต่อดัชนีอุตสาหกรรมในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า

วันนี้ (29 มี.ค.) นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกุมภาพันธ์ 2554 ลดลง 3.43% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.10% อุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อการลดลงของ MPI ที่สำคัญ ได้แก่ การผลิต Hard Disk Drive การกลั่นน้ำมัน ขณะที่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมอาหาร ยังขยายตัวได้ดี ส่วนปัจจัยแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่นประกอบกับถูกคลื่นยักษ์สึนามิถล่ม เมื่อกลางเดือนมีนาคมจะส่งผลต่อ MPI ในอีก 2 เดือนข้างหน้า

นางสุทธินีย์ กล่าวว่า การผลิต Hard Disk Drive เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนการผลิตและจำหน่าย ลดลงใกล้เคียงกัน 11.6% และ 10.0% ตามลำดับ เนื่องจากปีก่อนตลาด Hard Disk ขยายตัวได้ดีกว่าปีนี้ จากการฟื้นตัวของความต้องการสินค้าคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก รวมถึงผลของการปรับปรุงระบบและการอัพเกรดคอมพิวเตอร์ การกลั่นปิโตรเลียม เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายลดลง 22.3% และ11.2% ตามลำดับ เนื่องจากผู้ประกอบการปิดโรงกลั่นเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักรประจำปี การผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและการจำหน่ายโทรทัศน์รวมทั้งจอ CRT, LCD และ PLASMA การผลิตและการจำหน่ายลดลง 29.4% และ 22.6% ตามลำดับ เนื่องจากตลาดในประเทศลดลง 34.5% ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้น 6.5% การผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายลดลง 3.9% และ 6.8% เนื่องจากวัตถุดิบราคาสูงขึ้น และมีบางส่วนย้านฐานการผลิตไปต่างประเทศ

ขณะที่ การผลิตรถยนต์ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและการจำหน่าย เพิ่มขึ้น 9.5% และ 9.9% ยังคงขยายตัวอย่างเนื่องจากรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1800 cc. โดยเฉพาะรถยนต์ขนาดเล็ก เนื่องจากประหยัดพลังงาน ประกอบกับมีการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน จากปัจจัยราคาพืชผลทางการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นส่งผลต่อยอดการจำหน่ายรถกะบะขนาด 1 ตัน เพิ่มขึ้น

สำหรับการผลิตเครื่องปรับอากาศ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่าย เพิ่มขึ้น 25.1% และ 24.9% เนื่องจากสาเหตุหลักมาจากภาวะโลกร้อนเป็นผลให้ความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวผู้ประกอบการได้ส่งสินค้ารุ่นใหม่ออกสู่ตลาดให้เป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภคโดยเน้นพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ จึงได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา และยุโรปอย่างต่อเนื่องชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การผลิตและการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 14.4% และ 13.7% ตามลำดับ ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว และมีผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่ตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการมากขึ้น โดยทั้งนี้ ทาง SIA (Semiconductor Industry Association) ได้รายงานยอดขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เดือนมกราคมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 1.5% และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 14% เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการเติบโตอย่างมั่นคงที่มาจากความต้องการในหลากหลายผลิตภัณฑ์ ขณะที่สินค้าที่ใช้อยู่ทุกวันมีความสามารถมากขึ้น เร็วขึ้นและมีราคาถูกลง

ส่วนอาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและการจำหน่ายลดลง 6.8% และ 4.2% ตามลำดับ เนื่องจากอากาศแปรปรวนและน้ำท่วมทำให้มีปริมาณกุ้งน้อยมีกว่าก่อนโดยตลาดส่งออกยังมีความต้องการต่อเนื่อง ในขณะที่สินค้าประเภทปลาทูน่ากระป๋อง และปลาซาร์ดีนกระป๋อง ภาวะการผลิตและการจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 10.7% และ 5.1% เนื่องจากมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างสม่ำเสมอปริมาณปลายังมีมากเพียงพอกับความต้องการ และราคาปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะปลาซาร์ดีนกระป๋องตลาดมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและการส่งออก เป็นผลมาจากผู้ประกอบการได้เพิ่มความหลากหลายของสินค้า

นางสุทธินีย์ สรุปภาพรวม MPI เดือนกุมภาพันธ์ 2554 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ดังนี้ ดัชนีผลผลิต (มูลค่าเพิ่ม) อยู่ที่ระดับ 176.94 ลดลง 3.43% จากระดับ 183.23 ดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 182.85 ลดลง 0.98% จากระดับ 181.08 ดัชนีแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 115.32 ลดลง -1.44% จากระดับ 117.00 ขณะที่ดัชนีผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 151.16 เพิ่มขึ้น 6.38% จากระดับ 142.09 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง 185.58 เพิ่มขึ้น 1.09% จากระดับ 183.58 โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.10%



ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

หุ้นเหล็กเทรดคึกคัก เก็งต้นเดือน เม.ย.“พาณิชย์” ไฟเขียวขึ้นราคา

หุ้นกลุ่มเหล็ก กอดคอบวกยกแผง หลังพากันเทรดคึกคัก โดยโบรกฯ คาดเป็นผลมาจากการเก็ง “พาณิชย์” ปรับขึ้นราคาเหล็กช่วงต้นเดือน เม.ย.ตามต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

วันนี้ (29 มี.ค.) หุ้นกลุ่มเหล็กพากันทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังวอลุ่มเทรดคึกคัก โดยเมื่อเวลา 14.30 น.ที่ผ่านมา หุ้น SSI อยู่ที่ 1.29 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท (+4.88%) มูลค่าซื้อขาย 335.56 ล้านบาท หุ้น TSTH อยู่ที่ 1.58 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท (+2.60%) มูลค่าซื้อขาย 9.56 ล้านบาท หุ้น GSTEEL อยู่ที่ 0.76 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท (+1.33%) มูลค่าซื้อขาย 30.22 ล้านบาท และ หุ้น TYM อยู่ที่ 0.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท (+3.17%) มูลค่าซื้อขาย 50.996 ล้านบาท

ด้าน นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มเหล็กบวกยกแผง ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างคึกคัก คาดว่า จะเป็นผลจากการเก็งในประเด็นกระทรวงพาณิชย์อาจพิจารณาปรับขึ้นราคาขายเหล็กในช่วงต้น เม.ย.นี้ ตามต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ หุ้น บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) มีแนวรับ 1.25, 1.20 บาท แนวต้าน 1.29, 1.31, 1.34 บาท, หุ้น บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) มีแนวรับ 1.54, 1.49 บาท แนวต้าน 1.58, 1.64 บาท, หุ้น บมจ.จี สตีล (GSTEEL) มีแนวรับ 0.76, 0.73 บาท แนวต้าน 0.78, 0.82 บาท ส่วนหุ้น บมจ.ไทยง้วนเมทัล (TYM) มีแนวรับ 0.63, 0.60 บาท แนวต้าน 0.66, 0.70 บาท

อนึ่ง ผู้ประกอบการเหล็กรีดร้อนรายใหญ่ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอปรับราคาขายเหล็กจากเพดาน 25.50 บาท/กิโลกรัม เป็น 29.50 บาท/กิโลกรัม หลังต้นทุนการผลิตปรับตัวขึ้น โดยปัจจุบัน ราคาเหล็กรีดร้อนอยู่ที่ 25-26 บาท/กิโลกรัม ซึ่งเกินราคาควบคุม 25.50 บาทแล้ว โดยกระทรวงพาณิชย์ นัดชี้ขาด 1 เม.ย.นี้


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ต่างชาติโอดหุ้นขาดตลาด ตลท.หนุน บจ.เพิ่มหุ้น แบงก์-พลังงาน เนื้อหอม

ต่างชาติโอดหุ้นขาดตลาด ตลท.หนุน บจ.เพิ่มหุ้น แบงก์-พลังงาน เนื้อหอม

ต่างชาติติง!สนใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนไทย แต่ติดปัญหาไม่มีหุ้นให้ซื้อ ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯสบช่อง ชี้เป็นจังหวะดีหนุนบจ.เพิ่มทุนเสริมสภาพคล่อง หลังพบความต้องการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมีสูง ฝั่งบล.ภัทร แจง ต่างชาติสนในเข้าฟังข้อมูลหุ้นกลุ่มแบงก์มากสุด รองมาคือ พลังงาน จากแนวโน้มกำไรดี ส่วนปัญหาการเมืองกลายเป็นเรื่องพื้นๆ มีคำถามน้อยลง

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการสำรวจความคิดเห็นของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมให้ข้อมูลแก่นักลงทุนต่างประเทศในงานไทยแลนด์โฟกัส พบว่านักลงทุนสถาบันต่างประเทศนั้นให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในบริษัทแต่ขณะนี้ติดปัญหาที่ไม่มีหุ้นที่จะเสนอขาย ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีที่บริษัทจดทะเบียนไทยจะมีการเพิ่มทุน ในการเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (PP) การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่นักลงทุนทั่วไป (PO) ฯลฯ จากที่บริษัททราบว่ามีความต้องการที่จะซื้อหุ้นจากนักลงทุนสถาบัน

ทั้งนี้จากการที่ค่าP/E ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 13-14 เท่า นั้นถือว่าเป็นปัจจัยหนุนที่จะทำให้บจ.ไทยมีการพิจารณาเพิ่มทุนมากขึ้น จากที่จะได้ราคาเสนอขายหุ้นที่ดี และยิ่งดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นจะทำให้บริษัทจดทะเบียนหันมาใช้ตลาดุทนในการระดมทุนมากขึ้นจากมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ จึงทำให้ตลาดหลักทรพัย์ฯคาดว่าปีนี้แนวโน้มบจ.จดทะเบียนปีนี้ คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยในช่วง2-3 เดือนแรกปีนี้บจ.ประกาศระดมทุนแล้วมูลค่า 40,000 ล้านบาท

สำหรับบจ.ที่ราคาหุ้นถูกอยู่จำนวนมาก ปัจจุบันมีหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำกว่า 10 เท่า จำนวน 193 บริษัท คิดเป็น 36% ของบจ.ทั้งหมด โดยบริษัทที่มีค่าP/E ระหว่าง 10-20 เท่า มีจำนวน 182 บริษัท หรือคิดเป็น 34% ของ บจ.ทั้งหมด ซึ่งรวม 2 กลุ่มนั้น คิดเป็น 70% ของบจ.ทั้งหมด ซึ่ง สะท้อนให้เห็นว่ามีบจ.ที่มีราคาที่ต่ำอีกจำนวนมากที่ยังน่าสนใจในการเข้าไปลงทุน

อย่างไรก็ตามส่วนตัวเชื่อว่าการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสจะสร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะส่งผลให้มีบริษัทที่จะเข้าเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯคงเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)ของหุ้นใหม่ปีนี้ที่ 1 แสนล้านบาท เนื่องจาก ขณะนี้มีบริษัทที่จะเตรียมเสนอขายหุ้นหลายบริษัทจะมีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ กระจายในหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มอาหาร คือ บริษัทน้ำตาลครบุรี กลุ่มธนาคาร คือ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป ซึ่งจะเพิ่มความน่าสนใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นไอพีโอ

“การจัดงานไทยแลนด์โฟกัสครั้งนี้ได้สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน จากการสื่อสารข้อมูลจากทั้งภาครัฐและเอกชนตลาดทั้ง 3 วัน แสดงถึงความแข็งแกร่งของบจ.ไทย เศรษฐกิจไทยโดรวมที่เติบโตดี ซึ่งมีนักลงทุนจำนวนมากที่แสงดความสนใจชัดแจนในการเข้าลงทุนเมื่อมีโอกาส และจากการที่เศรษฐกิจในอาเซียนในช่วง 4-5 ปีข้างหน้าและจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและส่งผลกระทบกับภูมิภาคอื่น จำทำให้นักลงทุนต่างประเทศมองหาแห่งลงทุนที่มีการแนวโน้มการให้ผลอตบแทนที่ดี ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ในการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนก็จะเป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุน ”นายชนิตร กล่าว

ด้าน นายธีระพงษ์ วชิรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้บรรลุวัตถุประสงค์ในการนำเสนอข้อมูลจากผู้บริหารนโยบายภาครัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่สำคัญที่เน้นถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลก ซึ่งในงานนั้นมีการประชุมย่อยประมาณ 800 ครั้งในงาน ทั้ง one-on-one meeting ระหว่างผู้ลงทุนกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนถึงเกือบ 500 ครั้ง และ group meeting อีกกว่า 300 ครั้ง เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้สอบถามข้อมูลโดยตรงจากผู้บริหาร และการพบกับผู้บริหารจำนวนมากในเวลาเดียวกัน

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะมีโอกาสเปรียบเทียบข้อมูล และสามารถเชื่อมโยงถึงโอกาสในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ผู้ลงทุนได้ให้ความสนใจ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างประเทศสนใจมากที่สุด 4 อันดับ แรก คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ กลุ่มค้าปลีก

นอกจากนี้ การจัดการครั้งนี้นักลงทุนต่างชาติสอบถามเรื่องการเมืองลดน้อยลง น่าจะมีข้อพิสูจน์จากปีที่ผ่านมาแม้จะมีเหตุการณ์รุนแรงในประเทศแต่กำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ยังขยายตัวในระดับสูงถึง 30% และราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ภาพรวมการลงทุนดีขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน จากก่อนหน้านี้ราคาจะอยู่ในระดับต่ำกว่าประมาณ 30%

“การจัดงานไทยแลนด์โฟกัสครั้งนี้ถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนต่างประเทศดีกว่าทุกครั้งที่จัดมาสถานการณ์ต่างๆในเมืองไทยดี นักลงทุนกังวลปัจจัยการเมืองน้อยลง ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น กำไรบจ.ปีก่อนโต 30% แม้จะมีปัญหาการเมืองในช่วงต้นปี ”นายธีระพงษ์ กล่าว

ด้าน นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า การให้ข้อมูลวานนี้พบว่า นักลงทุนต่างชาติยังสนใจลงทุนในประเทศในภูมิภาคเอเชียและไทย ซึ่งคาดว่าใน 4-5 ปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้นจากปัจจุบันอีก 40-50% ขณะเดียวกันในเร็วๆนี้ภาครัฐจะมีมาตรการออกมาช่วยอไนวยความสะดวกต่อการลงทุนในไทยของนักลงทุนต่างชาติ นอกเหนือจากการลดภาษีด้วย รวมถึงการเพิ่มทำการวิจัยในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมางบดังกล่าวใช้เพียง0.2-0.3%ของจีดีพี แต่ความจริงน่าจะเพิ่มเป็ฯ1%ของจีดีพีเพื่อช่วยพัฒนาอุตสาหกรรม


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

หุ้นไทยพุ่ง 8 จุด แรงหนุน "Thailand Focus" กระตุ้นเชื่อมั่นนักลงทุน

หุ้นไทยพุ่ง 8 จุด แรงหนุน "Thailand Focus" กระตุ้นเชื่อมั่นนักลงทุน

หุ้นไทยปิดเพิ่มขึ้น 8 จุด หลังได้รับการตอบรับดีจากกองทุนใน-นอกประเทศ ในงาน "Thailand Focus" ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจ แม้ยังมีปัญหาญี่ปุ่นและสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางให้ติดตาม คาดบ่ายนี้อาจมีแรงขายทำกำไรบ้าง แต่เชื่อยังยืนบวกได้อยู่ ให้แนวรับ 1,039 แนวต้าน 1,050-1,055 จุด

วันนี้ (30 มี.ค.) ปิดตลาดหลักทรัพย์ไทยดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,045.22 จุด เพิ่มขึ้น 8.86 จุด (+0.85%) มูลค่าการซื้อขาย 16,380.76 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นแนวเดียวกับตลาดภูมิภาค โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากกองทุนใน-ตปท.จากงาน Thailand Focus ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น ส่วนปัญหาในญี่ปุ่น-สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด บ่ายนี้ตลาดฯอาจมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่เชื่อยังยืนในแดนบวกได้ พร้อมให้แนวรับ 1,039 แนวต้าน 1,050-1,055 จุด

สำหรับบรรยากาศการซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 1,045.99 จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 1,041.49 จุด ซึ่งหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,510.55 ล้านบาท ปิดที่ 172.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,314.13 ล้านบาท ปิดที่ 107.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 597.04 ล้านบาท ปิดที่ 128.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท TRUE มูลค่าการซื้อขาย 563.89 ล้านบาท ปิดที่ 5.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท และ JAS มูลค่าการซื้อขาย 503.66 ล้านบาท ปิดที่ 2.84 บาท ลดลง 0.02 บาท

ด้าน นายอรรถพร อารยะสันติภาพ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยได้รับการตอบรับที่ดีจากบรรดากองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากงาน Thailand Focus ซึ่งทำให้เห็นได้ว่ารัฐฯได้มีการช่วยบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อให้กับประชาชนได้ ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น

นอกจากนี้ จากเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ก็ทำให้มีหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้มี Sentiment ที่ดีด้วย อย่างหุ้น DCC เป็นต้น

ด้าน น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากโมเมนตัมที่เป็นบวก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก โดยคาดว่าจะได้รับแรงซื้อจากต่างชาติอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาน้ำมันยังขยับตัวขึ้น และดาวโจนส์ก็ยังปรับตัวขึ้นด้วย สำหรับปัญหาในญี่ปุ่น และสถานการณ์ในตะวันออกกลางก็คงจะต้องติดตามดูต่อไป

ขณะที่ แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ น.ส.ธีรดา กล่าวว่า ช่วงบ่ายตลาดฯอาจะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่เชื่อว่าตลาดฯยังยืนในแดนบวกได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนนายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดฯคงจะยืนในแดนบวกได้ จากการทำ Window dressing พร้อมให้แนวรับ 1,039 จุด แนวต้าน 1,050-1,055 จุด


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

ระวัง "หุ้นอภินิหาร"

คอลัมน์ "รอบรู้ตลาดทุน" โดย.......มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com)




ผมได้เห็นหุ้นบางหุ้น มีมูลค่าตลาดสูงขึ้นจากต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี สามารถมีมูลค่าสูงขึ้นเป็นกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งๆที่ กำไรจากการดำเนินการปกติดูแทบจะไม่มีอะไรเมื่อถึงเวลาแห่งการพิพากษา (Judgment Day) ภายในเวลาเพียง 7 วันทำการ หุ้นสามารถตกลงมาจากมูลค่าตลาด ประมาณ 21,000 ล้านบาท ลงมาแวะจุดต่ำสุดประมาณ 30 ล้านบาท ก่อนตีกลบขึ้นไปปิดที่ประมาณ 1,000 ล้านบาทผมเห็นแล้วเป็นห่วง อยากที่จะเสนอข้อมูลและความเห็นหลายประการ ดังนี้

1.หุ้นอภินิหารมีเป็นจำนวนน้อยในตลาดหลักทรัพย์ ประชาชนส่วนใหญ่ทั่วโลก อยากเห็นตลาดหุ้นเป็นแหล่งการลงทุนที่ดี ให้ผลตอบแทนที่ดี และไม่เสี่ยงเกินไป หลายคนจะกลัวสภาวะเช่นนี้ที่ โดยไม่ทันรู้ตัว หุ้นตกลงมามากมาย หมดเนื้อหมดตัว ผมขอบอกว่า สำหรับหุ้นส่วนใหญ่ จะไม่เป็นเช่นนั้น หุ้นที่ขึ้นลงอย่างไม่มีเหตุผล มีอย่างมากประมาณ 10-20 หุ้นจากทั้งตลาด 477 หุ้น

2.หุ้นดีๆ มีเป็นจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะเป็นจังหวะที่ดี เช่น ปตท. ปูนซิเมนต์ไทยฯ ธนาคารใหญ่ๆ แลนด์แอนด์เฮาส์ เซ็นทรัลพัฒนา แอดวานซ์ ดีแทค บ้านปู ซีพีออล (7-11) ฯลฯ มีมากมาย แม้จะตกลงมาตามสภาวะตลาด แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งจะมีแรงรับ ถึงจุดหนึ่งเราจะวางใจว่า มันแทบจะไม่มีที่จะตกต่ำลงไปกว่านี้สักเท่าไรแล้ว จึงลงทุนรอได้ รับปันผลได้ และสภาวะที่ตลาดหุ้นลงมามากๆเช่นนี้ จะเปิดโอกาสตามหลักการที่ว่า "ทุกครั้งหลังวิกฤต ย่อมมีสิทธิเกิดเศรษฐีใหม่" ซึ่งทางกิมเอ็งได้ขายดีวีดีโครงการความรู้สู่ผู้ลงทุน ชุด "ทุกครั้งหลังวิกฤต ย่อมมีสิทธิเกิดเศรษฐีใหม่" ถือเป็นเทศกาล "Amazing Thailand Grand Sales" ในงาน "Set in The City" ที่ผ่านมา โดยจะนำรายได้ไปผลิตดีวีดีเพิ่มเพื่อแจกไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วประเทศ

3.นักลงทุนควรจะรู้จักหุ้น มากกว่าที่จะเล่นเพราะหวือหวาดี ในยุคหุ้นอภินิหาร บางกลุ่มเคยได้รับฉายาว่า "หุ้นกลุ่ม 7 ดาวเหนือ" ผมเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ เพื่อนก็มาชวนว่า "เจ้าภาพจะเล่น 5 ตัวนี้" ผมไม่เชื่ออยู่ 2-3 วัน แล้วหุ้นก็ขึ้นโชว์ ต่อมาผมก็จึงอยากเสี่ยงบ้าง เข้าไปซื้อ 2 ตัว สิ้นวันม้าก็เข้าเส้นชัย ปรากฏว่า 3 ตัวที่ไม่ได้ซื้อขึ้น แต่อีก 2 ตัวลง พี่บางคนสอนผมว่า เจ้าภาพมักใช้สูตร "ลากโชว์ ยังไม่เข้า ก็ลากขึ้นไป รายย่อยเข้า ก็ทุบลง รายย่อยถือ ก็กดต่ำไว้ รายย่อยขาย ก็ลากขึ้นใหม่" หากเทียบเหมือนพนัน ก็คล้ายการแทงม้า ซึ่งเจ้ามือ สามารถเลือกได้ว่าจะเอาม้าตัวไหนเข้า แต่ข่าวร้ายคือ ผมติดตามเรื่องอย่างนี้มานาน ไม่ค่อยเคยเห็น "เจ้าภาพ" ทำหุ้นเพื่อ "แจกเงิน" เลย ใครที่ทะนงตนถือว่า "ตาดีก็ได้ ตาร้ายก็เสีย" ก็ขอให้ระมัดระวังด้วย อีกครั้ง หุ้นดีๆในตลาดมีมากมาย ไม่มีอภินิหาร แต่จะขึ้นลงด้วยเหตุผล ซึ่งเราก็ศึกษา และจะฝึกคาดการณ์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หุ้นดีๆหลายหุ้นก็ลงมา แต่จะไม่เห็นปรากฏการณ์ที่มูลค่าตลาดตกจาก 2 หมื่นล้านบาท มาเหลือเพียง 1 พันล้านบาทใน 7 วัน !!

4.โอกาสทอง "Amazing Thailand Grand Sales" สำหรับผู้ที่ยังไม่ลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนประเทศไทยปัจจุบันมีเพียงประมาณ 1 ล้านบัญชี เป็นบัญชีที่มีการเคลื่อนไหวเพียง 2-3 แสนบัญชีเท่านั้น จากประชากร 65 ล้านคน ที่ไต้หวัน มีนักลงทุนถึง 8 ล้านคน จากประชากรเพียง 23 ล้านคน ผมเชื่อว่า เมื่อประชาชนมีความรู้ดีขึ้น ฐานะดีขึ้น ก็น่าจะมีโอกาสเข้ามาลงทุนในตลาดมากขึ้นจุดอ่อนของนักลงทุนใหม่ก็คือ หากยังเห็นคาตาว่าหุ้นตกลงมามากๆ ก็จะกลัว หลายๆคนมักจะรอจนเห็นว่า ใครๆเข้าไปลง ก็ได้กำไรบ่อยๆ อย่างกว้างขวาง จะเชื่อ ซึ่งประมาณหลักการว่า "เห็นหุ้นขึ้นจะมั่นใจจึงได้เข้า เห็นหุ้นเน่าจนเศร้าใจจึงได้ขาย" ซึ่งหุ้นขึ้นมากแล้ว จะเผชิญความเสี่ยงที่หุ้นแพง แต่หุ้นที่ลงมาถูก แบบ Thailand Grand Sales อย่างนี้ จะเป็นการเข้ามาลงทุนที่ได้เปรียบด้านต้นทุน และช่วงนี้ก็ดีด้วยที่ไม่ต้องรีบร้อน รอเก็บวันอารมณ์ไม่ค่อยดี หรืออารมณ์ตกใจ และเมื่อขึ้นมา แล้วยังเห็นว่าเรื่องราวยังไม่จบง่ายๆ ก็ ลดพอร์ตลงไปบ้าง จะได้เก็บกำลังลงมาเก็บหุ้นตอนตกใจอีก ก็สามารถทำได้เช่นกัน

ดีวีดีชุด "ทุกครั้งหลังวิกฤต ย่อมมีสิทธิเกิดเศรษฐีใหม่" ยังได้ยกตัวอย่างโอกาสหลังวิกฤตในช่วงต่างๆในอดีต หลักการ "ลงทุนอย่างไรไม่ให้เป็นแมลงเม่า" หลักการ "ลงทุนแบบสม่ำเสมอเพื่อวัยเกษียณ (ASAM: Automatic Saving Aiming Millionaires)" การวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆที่กระทบต่อทิศทางตลาดหุ้น และหุ้นแต่ละกลุ่ม ทางเลือกในการลงทุนในกองทุนกระจายความเสี่ยง เช่น TDEX สำหรับหุ้น SET50 ซึ่งเป็นหุ้นชั้นนำที่หลากหลายประมาณ 50 หุ้น และ ENGY ซึ่งเป็นหุ้นที่ลงในหุ้นหลายๆหุ้นในกลุ่มพลังงาน แนะนำการลงทุนผ่านอินเตอร์เน็ต และการเปิดบัญชีกับกิมเอ็ง หากท่านผู้อ่านสนใจโปรดติดต่อได้ที่ www.kimeng.co.th หรือ โทร 02-658-5050 "ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์" และติดต่อได้ตามสาขากิมเอ็งทุกแห่งครับ

หมายเหตุ : เนื่องจากมีความผิดพลาดเล็กน้อย จึงได้นำบทความพิเศษ โดย "ไทยทน" มาลงในคอลัมน์ "รอบด้านตลาดทุน" โดย คุณมนตรี ศรไพศาล ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9510000139497