วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ธปท.เผยตัวเลข ศก.ไทย เดือน ก.ค.ชะลอตัว ห่วงเงินเฟ้อเพิ่มในอัตราเร่ง

ธปท.เผยตัวเลข ศก.ไทย เดือน ก.ค.ชะลอตัว ห่วงเงินเฟ้อเพิ่มในอัตราเร่ง

ธปท.เผยตัวเลข ศก.ไทย เดือน ก.ค.ชะลอตัว คาดแค่ชั่วคราว มั่นใจว่าแนวโน้มไตรมาส 3 ปีนี้จะขยายตัวได้ดี ส่วนเงินเฟ้อปรับตัวสูงต่อเนื่อง เป็นผลจากภาคเกษตรและอุตสาหกรมชะลอตัว รวมถึงการบริโภคในประเทศ แม้การลงทุนยังขยายตัวดี การส่งออกก็ขยายตัวดี จับตาลดราคาน้ำมัน เพิ่มอัตราเร่งเงินเฟ้อ

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงภาวะเศรษฐกิจเดือนกรกฎาคม 2554 โดยพบว่า ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (PCI) ขยายตัวร้อยละ 2.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงจากเดือนก่อน โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ รวมทั้งปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินที่ลดลงจากการปรับขึ้นราคา

นอกจากนี้ ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อรถจักรยานยนต์เนื่องจากภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ขณะที่การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค และยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถยนต์เชิงพาณิชย์ยังขยายตัวต่อเนื่อง

ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (PII) ขยายตัวร้อยละ 6.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์กลับมาขยายตัวร้อยละ 10.1 หลังจากหดตัวใน 2 เดือนก่อน เพราะปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนนำเข้าจากญี่ปุ่น

ขณะที่เครื่องชี้รายการอื่นขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งปริมาณนำเข้าสินค้าทุน พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล และปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ สอดคล้องกับสินเชื่อภาคธุรกิจที่เร่งขึ้นต่อเนื่องที่ร้อยละ 16.0 สำหรับภาครัฐยังมีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยขาดดุลเงินสด 38.6 พันล้านบาท

โดยภาพรวม การผลิตทั้งภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวลดลง ส่วนอุปสงค์ในประเทศชะลอลง โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกและการท่องเที่ยวขยายตัวดี สำหรับอัตราเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อและต้นทุนยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

"เศรษฐกิจเดือนกรกฎาคมขยายตัวชะลอลง เป็นผลจากภาคเกษตรและอุตสาหกรมชะลอตัว รวมถึงการบริโภคในประเทศ แม้การลงทุนยังขยายตัวดี การส่งออกก็ขยายตัวดี แต่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงจากการคาดการณ์เงินเฟ้อล่วงหน้าสูงขึ้น บวกกับต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม มองไปข้างหน้ายางรถยนต์และอุตสาหกรรมจะลัลบมาขยายตัวดี"

ส่วนอัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคม 2554 ที่ขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 2.1 จากระยะเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากเดือนที่แล้ว ร้อยละ 3.4 เป็นผลจากผู้บริโภคชขะลอการใช้จ่ายเพื่อรอนโยบายภาครัฐบาลใหม่ชัดเจนก่อน โดยเฉพาะนโยบายที่หาเสียงไว้ทั้งการสนับสนุนผู้มีบ้านหลังแรกและรถยนต์คันแรก รวมทั้งเป็นผลจากรายได้เกษตรกรลดลงด้วย แต่คาดว่าระยะต่อไปจะเห็นการกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว โดยเฉพาะการบริโภค

"ภาวะการผลิต การบริโภคที่ชะลอตัวลงในเดือนนี้น่าจะเป็นแค่ภาวะชั่วคราว เพราะการบริดภคชะรอ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายได้ภาคเกษตรหดตัว และผู้บริโภคเองก็รอความชัดเจนของนโยบายจากภาครัฐ อย่างการซื้อบ้านหลังแรก ซื้อรถยนต์คันแรก ซึ่งสถานการณ์นี้น่จะเกิดชั่วคราว คาดว่าในระยะต่อไปน่าจะคลี่คลายได้ เพราะจากข้อมูลเบื้องต้นธปท.ยังเชื่อว่าการขยายตัวในไตรมาส 3 ปีนี้ น่าจะดีกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา"

นายเมธี กล่าวอีกว่า ขณะนี้ ธปท.อยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบจากนโยบายปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันด้วยการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันทันที อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นมองว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จะเป็นประชาชนรายย่อยไม่ใช่ผู้ผลิต ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะมีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวจากการบริโภคน้ำมันที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังพบว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 3,574 ล้านดอลลาร์ ดุลการชำระเงินเกินดุล 541 ล้านดอลลาร์ และเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับมั่นคง

ทั้งนี้ อุปสงค์ต่างประเทศขยายตัวดีทั้งการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยว โดยการส่งออกมีมูลค่ารวม 21,098 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 36.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน (หากไม่รวมทองคำ การส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 30.2) เป็นการขยายตัวในทุกกลุ่มสินค้า ที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวและยางพาราขยายตัวดีทั้งด้านปริมาณและราคา ยานยนต์ส่งออกได้มากขึ้น หลังปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนคลี่คลาย พลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติกขยายตัวดีตามอุปสงค์จากจีนและอาเซียน

สำหรับการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมีจำนวน 1.6 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 21.5 เป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียและรัสเซียเป็นสำคัญ

การลดลงของภาคอุตสาหกรรมและการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศ ส่งผลให้การนำเข้าขยายตัวชะลอลงที่ร้อยละ 13.1 (หากไม่รวมทองคำ การนำเข้าจะขยายตัวร้อยละ 21.1) เป็นการชะลอลงตามการนำเข้าในหมวดวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบสำหรับผลิตพลาสติกที่หดตัวตามการปิดซ่อมบำรุงในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ และการนำเข้าในหมวดยานยนต์ที่หดตัวตามการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป ขณะที่การนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ทยอยเพิ่มขึ้นเข้าสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าในหมวดอื่นยังขยายตัวดี โดยเฉพาะหมวดเชื้อเพลิงที่เร่งตัวขึ้นหลังจากปิดปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันในเดือนก่อน


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000110055

"ธีระชัย" ใส่เกียร์ลุยงาน ธปท. ลดกรอบเงินเฟ้อ-เฉือนทุนสำรองฯ ตั้งกองทุนมั่งคั่ง

"ธีระชัย" ใส่เกียร์ลุยงาน ธปท. ลดกรอบเงินเฟ้อ-เฉือนทุนสำรองฯ ตั้งกองทุนมั่งคั่ง

"ธีระชัย" เดินหน้าขยี้ "ประสาร" มอบการบ้านโหด 4 เรื่อง จี้เคาะกรอบเงินเฟ้อปี 55 แคบลง แยกทุนสำรองฯ บางส่วน ตั้งกองทุนมั่งคั่ง เร่งลดภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ และโยกงานกำกับตั๋วบีอีไปให้ ก.ล.ต. ขีดเส้นคำตอบภายใน 1 เดือน

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังหารือกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยระบุว่า ตนเองได้สั่งให้ผู้ว่าการ ธปท. ดำเนินการใน 4 เรื่องสำคัญ พร้อมกำชับให้หาข้อสรุปกลับมารายงานในเดือนหน้า

โดยเรื่องที่ 1 ตนเองได้ขอให้ ธปท. ไปศึกษาการตั้งกองทุนความมั่งคั่ง โดยให้นำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนหนึ่งออกมาจัดตั้ง ให้มีการแยกบัญชีต่างหาก ซึ่งอาจจะต้องมีการแก้กฎหมายเพื่อให้นำเงินทุนสำรองออกมาใช้

สำหรับการตั้งกองทุนมั่นคั่ง จะเป็นการบริการร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับ ธปท. โดยต้องมีข้อตกลงว่า กำไรจะนำไปทำอะไร และขาดทุนใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

นอกจากนี้ การตั้งกองทุนมั่นคั่ง ต้องการให้ไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศเอเชีย ส่วนขนาดกองทุนจะเป็นอย่างไร จะลงทุนรูปแบบไหน สัดส่วรเท่าไร ได้ให้ ธปท. ไปศึกษา

นายธีระชัย กล่าวว่า การบริหารเงินทุนสำรองของ ธปท. ปัจจุบันได้รับผลตอบแทนน่อย และไปลงทุนในสกุลที่มีแนวโน้มการพิมพ์เงินออกมาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้มูลค่าสกุลดังกล่าวลดลง ดังนั้นการบริหารจึงต้องคำนึงถึงผลตอบแทน ดูวิธีการบริหารใหม่ให้มีความสมทั้งในแง่ของความปลอดภัย ผลตอบแทน และความถูกต้องในเชิงวิชาการ

เรื่องที่ 2 ให้หาแนวทางการแก้ไขหนี้กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่เดิมมีจำนวน 1.1 ล้านล้านบาท แต่ ธปท.ชำระหนี้เงินต้นได้เพียง 1.6 แสนล้านบาท ขณะที่คลังชำระดอกเบี้ยไป 6.7 แสนล้านบาท มีเงินต้นที่เหลืออีก 1.1 ล้านล้านบาท ที่ ธปท. ยังชำระไม่ได้และเป็นภาระกับงบประมาณ

เรื่องที่ 3 ต้องการให้ ธปท. เข้าไปกำกับการดูการออกตั๋วสัญญาใช่เงินระยะสั้น (ตั๋วบีอี) ของธนาคารพาณิชย์ ที่มีการขยายตัวจำนวนมาก เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาทำให้เกิดความเสียหายและมาเป็นภาระทางการคลัง โดยในเรื่องนี้ได้ นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นประธานคณะทำงานหารือกับ ธปท. สถาบันคุ่มครองเงินฝาก และ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยส่วนตัวแล้ว ต้องการให้โอนการกำกับดูแลตั๋วบีอีไปไว้ที่ ก.ล.ต.

เรื่องที่ 4 ขอให้ ธปท. ทบทวนกรอบเงินเฟ้อที่ประกาศใช้ใหม่ปี 2555 โดยให้คำถึงปัจจัยภาวะเศรษฐกิจในและนอกประเทศ รวมถึงแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการ และค่อยมาดูว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเท่าไร เงินเฟ้อจะอยู่ระดับไหน ถึงค่อยกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ

สำหรับกรอบเงินเฟ้อที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ 0.5-3.0% ต่อปี ถือว่ากว่างเกินไป ทำให้ ธปท. ไม่ค่อยกังวลดูแลเงินเฟ้อตอนที่อยู่ในระดับต่ำ ได่มอบให้ สศค. และ ธปท. ไปศึกษาใหม่อีกครั้ง เพื่อให้มีความท้าทายในการบริหารเงินเฟ้อมากขึ้น


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000110090

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"ซีมิโก้"รุกกองทุนส่วนบุคคล หวังจัดตั้งกองทุนให้รัฐมนตรีขั้นต่ำ

"ซีมิโก้"รุกกองทุนส่วนบุคคล หวังจัดตั้งกองทุนให้รัฐมนตรีขั้นต่ำ10ล้าน

บลจ. ซีมิโก้ ปรับแผนกองไพรเวทฟันด์ เน้นจับกลุ่มลูกค้าเฉพาะราย เช่น นักลงทุนเกาหลีที่ชอบลงทุนในไทย และจัดตั้งกองทุนให้รัฐมนตรี ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ด้านประชาสัมพันธ์รุกขยายช่องทางการเติบโตผ่านโซลเชียลมีเดียร์ สร้างเซลล์ขึ้นเองและตัวแทนจำหน่าย

นายไววิทย์ อุทัยเฉลิม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ซีมิโก้ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินงานกองทุนรวมส่วนบุคคล หรือไพรเวทฟันด์ ต่อจากนี้ไปบริษัทจะเน้นเป็นกองทุนหุ้นเป็นหลัก เพราะเรามีทีมงานที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญ โดยจะเน้นกลุ่มเน้นจับกลุ่มเฉพาะลูกค้าบางราย ซึ่งได้เริ่มมีการพูดคุยกับนักลงทุนเกาหลีใต้ที่จะเข้ามาลงทุนในไทยในลักษณะของ Private Equity มูลค่าประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติอื่น ๆ ด้วยที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในลักษณะเดียกวัน

นอกจากนี้ บริษัทเองยังมีการจัดตั้งกองทุนให้กับรัฐมนตรีบางรายที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีและมีความสนใจให้บริษัทจัดตั้งกองทุนให้ ซึ่งขณะนี้เริ่มมีการพูดคุยกันแล้วประมาณ 1 - 2 ราย ซึ่งบริษัทเองมีความตั้งใจที่จะจัดกองทรัพย์สินให้ซึ่งถูกต้องตามกฎหมายและเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน หากนักการเมืองบางรายจะให้ความสนใจอีกบริษัทยินดีและพร้อมดูและกองทุนให้

สำหรับนักลงทุนในกองทุนไพรเวทฟันด์ที่จะให้เราดูแลต้องมีเงินขั้นต่ำไม่น้อยไปกว่า 10 ล้านบาท เนื่องจากว่า บริษัทของเราเองมีบริษัทแม่ที่เป็น บริษัทหลักทรัพย์ ดังนั้นกลุ่มลูกค้าจึงจะเป็นเฉพาะบางรายที่เลือกเข้ามาลงทุนเอง รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วด้วย

"การทำงานของกองทุนรวมส่วนบุคคลต่อจากนี้ไปจะเป็นเฉพาะกลุ่มมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ก็มีนักการเมืองท่านหนึ่งที่มีความต้องการจะให้เราเข้าไปดูแลทรัพย์สินให้ ซึ่งเราก็พร้อมและยินดีที่จะดูแลให้แต่ต้องอยู่ในความดูต้องและโปร่งใส่ ให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้ นอกจากนี้กองทุนส่วนบุคคลอีกกองที่ผมจะทำคล้าย ๆ อิควิตี้เวนเจอร์เแคปพวกแมสชิ่งฟันด์ ซึ่งเราก็มีทาร์เก็ตอยู่แล้วที่เราจะเปิดภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเป็นการเปิดในวอลุ่มที่หายไป"

นายไววิทย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับเรื่องของการทำประชาสัมพันธ์ในกองทุนของบริษัทนั้น บริษัทได้ดูในเรื่องของโซลเชียลมีเดียร์ เพราะก่อนหน้านี้ตัวผมเองมีประสบการณ์ด้านนี้มาพอสมควร ซึ่งจะทำให้เราบริหารพอร์ตได้เป็นอย่างดี และมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทจะนำเอากลุ่มที่ชอบมาลงทุนเพิ่มในกองทุนที่นักลงทุนอยู่ก่อนหน้านี้เพื่อมาลงทุนเพิ่ม เพราะมองว่าเงินเดือนของนักลงทุนมีการปรับเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นบริษัทมีฐานข้อมูลของลูกค้าในการลงทุนอยู่ บริษัทจะทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ต่อไป

นอกจากนี้หลักการทำการตลาดของบริษัท ยังคงเน้นขายกองทุนผ่านตัวแทนจำหน่าย และสร้างเซลล์ขึ้นมาเอง ในการเสนอขายกองทุนต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วแผนการตลาดในปีหน้าบริษัทเตรียมรุกด้านมีเดียร์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นด้วย

ที่มา
http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103211

TFEX ปรับเพิ่มมาร์จิ้น SET50 และ Gold Futures ดีเดย์ 19 ส.ค.นี้

TFEX ปรับเพิ่มมาร์จิ้น SET50 และ Gold Futures ดีเดย์ 19 ส.ค.นี้

ตลาดอนุพันธ์เผยสำนักหักบัญชีเตรียมปรับเพิ่มอัตราหลักประกันสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือมาร์จิ้น (margin) สำหรับฟิวเจอร์ส ของดัชนี SET50 (SET50 Index Futures) และโกลด์ฟิวเจอร์สเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้น โดยจะเริ่มใช้อัตราหลักประกันใหม่ เริ่มตั้งแต่ 19 ส.ค.นี้

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX แจ้งว่า จากปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและยุโรปในช่วงที่ผ่านมาทำให้ผู้ลงทุนเกิดความไม่มั่นใจและมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนโดยหันมาถือครองทองคำซึ่งจัดเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงขึ้น ส่งผลให้การซื้อขายหลักทรัพย์และทองคำมีความคึกคักแต่ผันผวนอย่างมากและทำให้สำนักหักบัญชีต้องพิจารณาปรับเพิ่มอัตราหลักประกันของฟิวเจอร์สของดัชนี SET50 (SET50 IndexFutures) และโกลด์ฟิวเจอร์สตามสภาพความผันผวนของตลาด โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค. 54 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ การปรับหลักประกันดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้ลงทุนทั่วไปต้องวางหลักประกันของฟิวเจอร์สของดัชนี SET50 เพิ่มขึ้นจาก 38,000 บาทต่อสัญญา เป็น 53,200 บาทต่อสัญญา โกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 50 บาททองคำ จาก 47,500 บาทต่อสัญญา มาเป็น 62,700 บาทต่อสัญญา และโกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 10 บาททองคำ จาก 9,500 บาทต่อสัญญา มาเป็น 12,540 บาทต่อสัญญา สำหรับอัตราหลักประกันของซิลเวอร์ฟิวเจอร์สของผู้ลงทุนทั่วไปนั้น จะปรับลดลงจาก29,450 บาทต่อสัญญามาเป็น 21,850บาทต่อสัญญาในขณะที่ฟิวเจอร์สของหุ้นรายตัวมีทั้งการปรับเพิ่มและลดอัตราหลักประกันในบางหุ้นอ้างอิง

"การปรับเปลี่ยนอัตราหลักประกันนั้น เป็นวิธีการที่สำนักหักบัญชีดำเนินการเป็นปกติ โดยจะปรับอัตราหลักประกันขึ้นหากราคาฟิวเจอร์สมีความผันผวนสูงขึ้น ในทางตรงข้ามหากความผันผวนของราคาฟิวเจอร์สลดลงก็จะปรับลดอัตราหลักประกันลงซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการปรับขึ้นและปรับลดอัตราหลักประกันของฟิวเจอร์สทั้ง 2 ประเภทมาแล้ว อย่างไรก็ดีการปรับหลักประกันในครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงในอัตราที่ค่อนข้างสูงจึงต้องการให้ผู้ลงทุนรับทราบข้อมูลและเตรียมการในเรื่องเงินประกันไว้เป็นการล่วงหน้า" นางเกศรากล่าว

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103903

น้ำมันดิ่งเหว $5 - หุ้นสหรัฐฯ ปิดลบแรง กังวล ศก.ถดถอยซ้ำซ้อน

น้ำมันดิ่งเหว $5 - หุ้นสหรัฐฯ ปิดลบแรง กังวล ศก.ถดถอยซ้ำซ้อน

เอเอฟพี - ราคาน้ำมันตลาดนิวยอร์กดิ่งลงกว่า 5 ดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี (18) หลังนักลงทุนหวั่นผวาต่อคำเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำซ้อนที่อาจกัดเซาะอุปสงค์ทางพลังงาน และปัจจัยดังกล่าวก็ฉุดให้วอลล์สตรีทปิดลบแรงเช่นกัน

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 5.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 82.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 3.61 ดอลลาร์ ปิดที่ 106.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ความเคลื่อนไหวของตลาดน้ำมันมีขึ้นหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ ธนาคารเพื่อการลงทุนในสหรัฐฯ ออกรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (18) ว่าวอชิงตันและยุโรปมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเจอภาวะถดถอยรอบใหม่ ขณะเดียวกันก็คาดหมายว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ “บริกส์” จะเติบโตน้อยกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ในเบื้องต้น

รายงานความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบใหม่ในสหรัฐฯ และยุโรปของธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ ยังส่งผลให้วอลล์สตรีทวานนี้ (18) ปิดลบอย่างแรง

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 419.63 จุด (3.68 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 10,990.58 จุด แนสแดค ลดลง 131.05 จุด (5.22 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,380.43 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 53.23 จุด (4.46 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,140.65 จุด


ที่มา
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103972