วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สยองขวัญ18กิจการอันตราย

หุ้นไทยเข่าอ่อน ยืน900ไม่อยู่จ่อลงอีก-สยองขวัญ18กิจการอันตราย

หุ้นไทยได้ตื่นเต้น!แค่ชั่ววูบ ดัชนีทะลุเหนือ 900 จุดได้ แต่ยืนนานไม่ไหว รูดลงเหลือปิดเพิ่มแค่ 0.86 จุด จากแรงเทขายทำกำไร และกรณีมาบตาพุดที่จะมีการประกาศรายชื่อ 18 อุตสาหกรรมอันตรายใน 1-2 วันนี้ ฉุดนักลงทุนเทขายกลุ่มปตท กดดันตลาด ฟากต่างชาติซื้อสุทธิแค่ 204 ล้าน โบรกฯประเมินวันนี้ เริ่มเข้าสู่ช่วงปรับฐาน แนะนักลงทุนติดตามค่าบาทใกล้ชิด อ่อนค่าเมื่อใด หมายถึงสัญญาณฝรั่งชะลอตัว

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (23ส.ค.) ดัชนีหลักทรัพย์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 0.86 จุด หรือ 0.10% โดยปิดที่ ปิดที่ระดับ 894.78 จุด มูลค่าการซื้อขาย 35,161.02 ล้านบาท ทั้งที่ดัชนีสามารถขึ้นไปแตะที่ระดับ 900.78 จุดได้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถยืนเหนือระดับ 900 จุดได้ไม่นาน ก็ร่วงลงมาปิดตลาดในช่วงเช้าที่ 899.99 จุด ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาตามห้องค้าต่างๆได้

ขณะที่เมื่อเปิดตลาดซื้อขายในช่วงบ่าย ดัชนีก็ปรับตัวผันผวน ก่อนลดลงมา โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ ระดับ 900.78 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 891.58 จุด หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 186 หลักทรัพย์ ลดลง 192 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 126 หลักทรัพย์

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,742.71 ล้านบาท ปิดที่ 264.00 บาท ลดลง 2.00 บาท JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,511.36 ล้านบาท ปิดที่ 1.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.09 บาท SCC มูลค่าการซื้อขาย 1,464.32 ล้านบาท ปิดที่ 272.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท SAMART มูลค่าการซื้อขาย 1,415.55 ล้านบาท ปิดที่ 9.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท และ TMB มูลค่าการซื้อขาย 1,257.22 ล้านบาท ปิดที่ 2.22 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท

ส่วนการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุนพบว่า สถาบันซื้อสุทธิ 103.08 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศที่ซื้อสุทธิ 204.26 ล้านบาท ด้านบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และนักลงทุนทั่วไป ขายสุทธิ 244.81 ล้านบาท และ 62.54 ล้านบาท ตามลำดับ

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้มีแรงขายทำกำไรออกมาในระหว่างเทรด ภายหลังจากที่ดัชนีฯไม่สามารถผ่านแนวขึ้นไปยืนเหนือ 900 จุดได้ และ โดยเฉพาะประเด็นการประกาศรายชื่อ 18 อุตสาหกรรมที่มีผลกระทบร้ายแรงที่ยังต้องใช้เวลาอีก 1-2 วัน ทำให้นักลงทุนเกรงว่าอาจเป็นข่าวลบ จึงขายหุ้นในกลุ่ม บมจ.ปตท.(PTT)ออกมาก่อน อย่างไรก็ดี ช่วงเช้าวานนี้ ตลาดหุ้นยังได้ปัจจัยบวกจาก Fund Flow ที่ยังไหลเข้า และตัวเลข GDP ของไทยงวดไตรมาส 2/53 ที่ออกมาขยายตัว 9.1% ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่จะแกว่งอยู่ในแดนบวก โดยนักลงทุนยังมอนิเตอร์สัญญาณทางเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่อยู่

โดยแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(24 ส.ค.) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัว พร้อมให้แนวรับ 888 จุด แนวต้าน 900 จุด

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีภาคเช้าสามารถอยู่ในแดนบวกจนสามารถไปแตะระดับเหนือ 900 จุด ได้ช่วงสั้น และทำให้ช่วงเช้าดัชนีสามารถปิดบวกได้ถึง 6 จุด เนื่องจากยังได้แรงหนุนจากเม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าภูมิภาคเอเชียต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนยังมีความกังวลต่อภาวะการพื้นตัวเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐ ทำให้นำเงินลงทุนมาพักฐานที่เอเชียก่อน

ส่วนที่ภาคบ่ายดัชนีทยอยปรับลง เป็นเพราะแรงขายทำกำไรข่าวข่าวที่นายกรัฐมนตรีขอเลื่อนแถลงความชัดเจนของ 18 ประเภทโครงการที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงในมาบตาพุด 1-2 วัน หลังคณะกรรมการได้ชี้แจงร่างกฎหมายที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้เห็นชอบตัด 4 กิจการออกจาก 18 กิจการประเภทรุนแรง

ดังนั้นในระยะสั้นดัชนีจะเข้าสู่การปรับฐาน หลังดัชนีได้เพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง สังเกตได้จากดัชนีเปิดบวกแต่ช่วงบ่ายเกิดแรงขายทำกำไรมาตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ให้นักลงทุนติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเป็นหลัก เพราะหากค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าเมื่อไรก็อาจเป็นสัญญาณของการปรับฐาน ซึ่งหมายถึงเม็ดเงินต่างชาติจะเริ่มชะลอลง โดยประเมินดัชนีเคลื่อนไหววันนี้ที่กรอบ แนวต้าน 900-903 จุด และแนวรับที่ 885 จุด

ขณะเดียวกัน สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินในประเทศและต่างประเทศของบริษัท 5 แห่งในกลุ่มบมจ. ปตท (PTT) และทบทวนแนวโน้มเครดิต 2 ใน 5 บริษัทดังกล่าวเป็นมีเสถียรภาพ จากเดิมเชิงลบ

ทั้งนี้ S&P ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของ IRPC และ PTTAR ที่ BBB- และปรับเพิ่มแนวโน้มเครดิตเป็นมีเสถียรภาพ พร้อมคงอันดับเครดิตและแนวโน้มเครดิตของ PTT ที่ BBB+ แนวโน้มเชิงลบ, PTTCH ที่ BBB แนวโน้มเชิงลบ และ Thaioil ที่ BBB แนวโน้มเชิงลบ

กูรูแนะหุ้นตลาดเกิดใหม่น่าลงทุน

กูรูแนะหุ้นตลาดเกิดใหม่น่าลงทุน

โบรกเกอร์กองทุนรวมแนะนักลงทุเลือกหุ้นตลาดเกิดใหม่แทนหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว หลังเศรษฐกิจของกลุ่ม Emerging Marke มีอัตราการเติบโตมากกว่าแม้จะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ประเมินดัชนี A-Share มาแรงแนะนำกองทุน China Equity Index น่าลงทุน

นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมาท่ามกลางภาพเศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอตัวลงทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐ และจีนทำให้ตลาดหุ้น และราคาน้ำมันต่างปรับตัวลงแรง เรายังคงเชื่อว่าตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งเรายังคงแนะนำให้หลีกเลี่ยงตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และกองทุนน้ำมัน

อย่างไรก็ตามเรายังคงมุมมองเชิงบวกกับกลุ่ม Emerging Market โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนเซี่ยงไฮ้ A-Share ที่แม้ว่าจะเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากมาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจก่อนหน้านี้แต่เรายังคาดว่าจะยังคงเห็นการเติบโตของจีน และชะลอกการออกมาตรการใหม่ๆ รวมถึงดัชนี A-Share ได้ปรับลดลงมาอย่างมากตั้งแต่ต้นปีมองว่าระดับราคานี้ได้รับข่าวการมาตรการและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากมาตรการที่ออกมาแล้ว เราจึงยังคงแนะนำเก็งกำไรโดยเรามองแนวต้านแรกที่ 2,800 หากผ่านได้ คาดว่าจะเห็นขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 3,000 จุดต่อไป

สำหรับกองทุนแนะนำเป็นกองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index ของบลจ. ทหารไทย ซึ่งลงทุนในกองทุนหลักที่มีนโยบายในการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี FTSE/Xinhua China A50 Indexที่ประกอบไปด้วยหุ้น A-Share ที่มีสภาพคล่องสูง 50 ตัว โดยลงทุนผ่านตราสารอนุพันธ์ที่ชื่อว่า China A-share Access Products (CAAPs) ซึ่งกองทุนหลักไม่ได้ลงทุนในหุ้น A-Share โดยตรง และออกโดยสถาบันการเงิน (CAAP Issuers) ที่เชื่อถือได้ เช่น UBS, Citigroup, Credit Suisseและ HSBC เป็นต้น

นอกจากนี้สินทรัพย์ปลอดภัยทั้งทองคำ และเงินดอลล่าร์สหรัฐกลับมาได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอีกครั้งดังจะเห็นได้จากกองทุน SPDR ที่เริ่มเห็นการถือครองทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาทองคำกลับขึ้นไปยืนเหนือแนวต้านที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ทำให้สัญญาณทางเทคนิคระยะสั้นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง โดยเราคาดว่าจะเห็นราคาทองคำกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ราคาสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้แถวๆ 1,260ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เพราะฉะนั้นเราจึงยังคงคำแนะนำสะสมทองคำต่อไป และกองทุนที่แนะนำยังคงเป็น K-GOLD ของ บลจ. กสิกรไทย ที่มีค่าใช้จ่ายถูกที่สุดและมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินซึ่งค่าเงินบาทกำลังแข็งค่าขึ้นอีกครั้งเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐทำให้ไม่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

ทั้งนี้สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงแรงหลังธนาคารกลางสหรัฐ (FED)ประเมินภาวะเศรษฐกิจสหรัฐย่ำแย่กว่าที่คาดไว้ และมาตรการการเพิ่มสภาพคล่องโดยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลยังไม่ได้ทำให้ตลาดมีความมั่นใจต่อภาพเศรษฐกิจสหรัฐขณะที่ตลาดแรงงานเองยังคงเป็นปัญหาสำคัญโดยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นอีก 2,000 ราย เป็น 484,000 ราย หลังจากสัปดาห์ที่แล้วรายงานตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 22,000 ราย ทำให้แนวโน้มอัตราการว่างงานยังคงคาดว่าจะอยู่ในระดับที่สูงที่ 9.5% แต่หากรวมกับแรงงานที่เลิกหางานทำไปแล้วคาดว่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่านี้ อีก ความกังวลที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ DJIA ปรับตัวลดลง พร้อมทั้งคาดการณ์ในเชิงลบต่อผลประกอบการในอนาคตของบางบริษัทในสหรัฐ และแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อไป และเช่นเดียวกันความกังวลต่อภาพเศรษฐกิจโลกกดดันตลาดหุ้นยุโรป


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

กองหุ้นรับอานิสงส์ดัชนีทะยาน บลจ.โชว์ผลตอบแทนบวกถ้วนหน้า

กองหุ้นรับอานิสงส์ดัชนีทะยาน บลจ.โชว์ผลตอบแทนบวกถ้วนหน้า

กองทุนหุ้นตีปีก รับอานิสงส์ดัชนีหุ้นทะยาย "แอสเซทพลัส" โชว์ผลงาน ปิดกองทุนก่อนกำหนด หลังผลตอบแทนเข้าเป้า 10% เพียง 4 เดือน ด้าน "วรรณ" อวดผลตอบแทน 2 กองหุ้น ขึ้นแท่นผู้นำ 2 อันดับแรก

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 3.5% มาซื้อขายที่ระดับประมาณ 890 จุด จากเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียที่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยุโรป ประกอบกับการคาดการณ์แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งการปรับตัวของดัชนีตลาด

หลักทรัพย์ช่วงนี้ได้ส่งผลดีให้กับกองทุนหุ้นกลุ่ม SMART ของบริษัท

โดยเฉพาะ กองทุนแอสเซทพลัสสมาร์ท 4 (ASP-SMART4) ที่สามารถปิดกองทุนในวันที่ 19 ส.ค. 53 จากการสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย 10% ของเงินลงทุนเริ่มแรก คือ มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ผ่านจุด 11.00 บาท

ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมานอกจากนี้ กองทุนกลุ่ม SMART อีก 4 กองทุนที่เหลือ ได้แก่ ASP-SMART, ASP-SMART 2, ASP-SMART 3 และ ASP-SMART5 ยังสามารถจ่ายคืนผลตอบแทนได้อีก กองทุนละ 0.50 บาท ต่อหน่วย อีกด้วย

ทั้งนี้ แนวโน้มการปรับตัวของ SET Index ที่ปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปีในอัตราที่สูงกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค คาดว่าตลาดอาจมีการปรับฐานจากการขายทำกำไรในช่วงสั้นๆ บ้าง ในขณะที่มุมมองระยะยาวของตลาดหุ้นยังอยู่ในเชิงบวก บริษัทฯ จึงเปิดเสนอขาย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ท 6 (ASP-SMART 6) โดยจะเสนอขายครั้งเดียวถึงวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เพื่อรอจังหวะทยอยเข้าลงทุนเมื่อระดับราคาของหุ้นเป้าหมายปรับตัวลงถึงระดับที่น่าสนใจ

โดยกองทุน ASP-SMART 6 เป็นกองทุนผสมที่มีอายุโครงการ 1 ปี มีเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนสุทธิที่ระดับ 10% และปิดกองทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนผ่านระดับ 11.00 บาท หรือเมื่อครบอายุกองทุน 1 ปี แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดก่อน โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ และหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนจะมีการใช้ SET50 FUTURES ที่สะท้อนการปรับตัวของหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มผันผวนสูงได้

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงนี้ ได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ดีเกินคาด ประกอบกับสภาพคล่องในระบบยังมีอยู่สูงมาก ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดเอเชียรวมถึงตลาดไทย

นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากการที่กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ฯและธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/53 จะยังขยายตัวในระดับที่สูงมากกว่า 5% ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลดีต่อกองทุนเปิดวรรณพลัส (ONE+1)และกองทุนเปิดเอกทวีคูณ (ONE-G) ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2553 กองทุนทั้งสองให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 18.99% และ 18.97% เทียบกับดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ 12.61% และในระยะเวลา 6 เดือน ทั้งสองกองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 36.60% เทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (Benchmark) ที่ 28.40% ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นอันดับ 1 และ 2 ของบรรดากองทุนตราสารหุ้นภายในประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนกองทุนเปิดวรรณพลัส และกองทุนเปิดเอกทวีคูณ ในช่วงที่ผ่านมานั้น ทางทีมผู้จัดการกองทุน มีการบริหารจัดการแบบ Active Management ซึ่งประเมิน Risk-Return ของหุ้นเป็นรายตัวอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ เพื่อใช้ในการคัดเลือกหุ้นเข้าและออกจากพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนมีการทำ company visit หุ้นใน Radar Screen อย่างใกล้ชิด เพื่อคอยหา Investment Idea ใหม่หรือหุ้นที่มีอนาคตที่ดีโดยที่ตลาดยังไม่รับรู้

นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนมีการ กระจายความเสี่ยงการลงทุนอย่างเหมาะสมในหุ้นแต่ละอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีฯ ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนค่อนข้างมาก และ การที่ผู้จัดการกองทุนมีความพยายามในการทำการบ้านเพื่อหาหุ้นที่ดี และจับจังหวะการลงทุนที่ถูกต้อง คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต และปรับหุ้นบางตัวออกจากพอร์ตในเวลาที่รวดเร็วและเหมาะสม จะเป็นแรงสำคัญที่ทำให้กองทุนกองทุนทั้งสองสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้อย่างดีอีกด้วย



ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

อนาคตทองคำราคาปรับขึ้นอีกสิ้นปี!?


อนาคตทองคำราคาปรับขึ้นอีกสิ้นปี!?

จากเศรษฐกิจในยุโรปที่ยังคงกดดันความเชื่อมั่นอยู่ในขณะนี้ นักวิเคราะห์หลายฝ่ายยังคงมองว่า ความต้องการซื้อทองคำมีมากขึ้น เพื่อป้องกันการลดค่าของสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่น ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผลตอบแทนของการลงทุนทองคำและกองทุนทองคำอยู่ที่ 9% และมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อในครึ่งปีหลัง จึงสามารถลงทุนติดไว้ในพอร์ตประมาณ 5 -10%

วรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. บัวหลวง จำกัด บอกว่า ราคาทองคำในระยะสั้น ยังมีแนวโน้มอ่อนตัวได้อีกเนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่

1. Investment demand ลดลงไป เนื่องจากความกังวลต่อเสถียรภาพค่าเงินยูโรลดลง รวมถึงเงินเฟ้อยังไม่ใช่ประเด็นในปีนี้เนื่องจากทั้งยุโรปและสหรัฐยังมีเงินเฟ้อในระดับต่ำมาก ขณะที่นักลงทุนโยกเงินเข้าสู่ risky assets เช่นหุ้น มากขึ้น เพราะผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาดี และเศรษฐกิจยุโรปยังมีการฟื้นตัวแม้จะเป็นไปอย่างช้าๆ

2. Physical demand ลดลง (ความต้องการทองคำไปเป็นเครื่องประดับหรือไปผลิตเป็นส่วนประกอบสินค้าอื่นๆ) เพราะเป็นช่วง Low season ของทุกปี โดยเฉพาะความต้องการทองคำจากอินเดียซึ่งมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของ Physical demand ทั้งหมด

และ 3. การที่ราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือระดับ $1,200/oz. ซึ่งเป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญได้ ยิ่งทำให้เกิดแรงขายจากนักเก็งกำไรมากยิ่งขึ้น

นายกสมาคม บลจ. บอกต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ ไตรมาส 4 ปีนี้ ราคาทองคำน่าจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอีกครั้ง เนื่องจาก มีเทศกาลต้องการทองคำที่อินเดียจะเริ่มขึ้นในไตรมาส 4 จึงจะมีความต้องการทองคำ (Physical demand) เพิ่มตามมา รวมถึงการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐที่เปราะบางยังคงเป็นความเสี่ยงที่ช่วยให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาบ้าง แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้มากเหมือนกับในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และผลการสำรวจความต้องการลงทุนในทองคำล่าสุดของบริษัท Ipsos พบว่านักลงทุนในเอเชียมีแนว โน้มที่จะซื้อทองคำเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้ามากกว่านักลงทุนจากทางฝั่งยุโรปและอเมริกาเหนือ

โดยมีความต้องการที่จะถือทองคำเพื่อลงทุนและเพื่อเก็งกำไรในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ซึ่งความต้องการทองคำจากทวีปเอเชียจะมาจาก อินเดีย อินโดนีเซีย และ จีน เป็นหลัก เนื่องจากจะมีเทศกาลสำคัญๆ ที่จะเพิ่มความต้องการทองคำจำนวนมากในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังมีเพียง 10% ของกลุ่มสำรวจที่ได้ซื้อทองคำแล้วในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จึงยังมีโอกาสอีกมากที่พวกเขาจะลงทุนในทองคำ โดยเฉพาะเมื่อราคาทองคำในปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาสูงสุดในอดีตที่ได้ปรับอัตราเงินเฟ้อแล้วซึ่งจะอยู่ที่ระดับ $2,300/oz.

สำหรับในปีหน้า คาดว่าปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปน่าจะยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการที่ Ben Bernanke ได้ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังอยู่ในภาวะไม่แน่ไม่นอน แสดงว่าความเสี่ยงเหล่านี้ยังคงไม่ได้หายไปอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลต้องใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อ ดังนั้น ความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน (Investment demand) ในอนาคตก็ยังคงมีอยู่ จึงคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำว่าจะยังคงเป็นขาขึ้นต่อในระยะยาว อย่างไรก็ตามจึงอยากให้นักลงทุนมีการกระจายการลงทุนไปในทองคำบ้าง จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุนโดยรวมของพอร์ตการลงทุน

ด้าน วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี(ไทย) จำกัด ยังแนะนำนักลงทุนว่า นักลงทุนควรทยอยลงทุนในทองคำและควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุนของตัวเอง นอกจากจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแล้ว ยังสามารถใช้เป็นสินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ดี และสามารถใช้กระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในหุ้นได้ดีเพราะมีความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้นค่อนข้างต่ำ การลงทุนในทองคำจึงตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกันมองว่าระดับราคาทอง ณ ปัจจุบันยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อีก แม้ราคาในปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนนักลงทุนลังเลที่จะเข้าลงทุน แต่ทางบริษัทและนักวิเคราะห์หลายๆ แห่งมองว่าราคาทองคำยังไม่แพงเกินไปและมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยหลายๆ ปัจจัย เช่น ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศกลับมาถือทองคำมากขึ้น กระแสเงินลงทุนจากกองทุน Gold ETF ต่างๆ (ETF Inflows)ที่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง แต่ซัพพลายมีจำกัดและมีต้นทุนการผลิตสูง รวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯและประเทศพัฒนาแล้ว

"คาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยในปีนี้ว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,300 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ดอยช์แบงก์ คาดการณ์ว่าราคาทองเมื่อจบไตรมาสที่ 3 จะอยู่ที่ 1,275 เหรียญสหรัฐ และจบสิ้นปีอยู่ที่ 1,400 เหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1,245 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าราคาเฉลี่ยในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1,450 เหรียญสหรัฐ"

ขณะที่ กิดาการ สุวรรณธรรมา ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจอนุพันธ์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า การที่รัฐบาลประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรปอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงที่ผ่านมาประกอบกับเศรษฐกิจเอเชียที่ฟื้นตัวมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลให้ยังมีความต้องการทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) และยังคงความเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย (Safe Haven)

"เราคาดว่าในปีนี้ราคาทองคำน่าจะมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,250-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เทียบเท่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์สที่บริเวณ 18,700-19,500 บาท และเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส4 โดยเป็นการปรับขึ้นเทียบจากสิ้นปี 2552 ราว 18%นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากการเข้าสะสมทองคำหรือถือสถานะ Long โกลด์ฟิวเจอร์ส ในจังหวะอ่อนค่าหรือพักฐานที่มีโอกาสลงไปทดสอบบริเวณ 1,100-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เทียบเท่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์ส ที่บริเวณ 16,500-17,200 บาท"

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์