วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

รู้จักคำว่า "เงินฝาก" ดีพอหรือยัง

ไม่น่าเชื่อนะครับ เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ทั้งๆที่เป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ แต่ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่ค่อยจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “เงินฝาก” สักเท่าไร ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ต่างก็มีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อย่างน้อยหนึ่งบัญชีกันทั้งนั้น

ที่เป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะ “บัญชีเงินฝากออมทรัพย์” กับธนาคารพาณิชย์ คือ บัญชีเงินฝากที่เรามีไว้เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง อำนวยความสะดวกในการรับ และจ่ายเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกวันนี้คนส่วนใหญ่จะเปิดบัญชีฝากออมทรัพย์พร้อมไปกับการทำ“บัตรเงินด่วน” เอทีเอ็ม เพื่อไว้กดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงในประเทศได้ภายในไม่กี่วินาที แต่เงินฝากประเภทอื่นๆกลับเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับใครหลายๆคน

ตามสถิติในช่วงปลายปี 2552 มีจำนวนบัญชีเงินฝากรวมกันประมาณ 76 ล้านบัญชี คิดเป็นเม็ดเงินทั้งระบบเกือบ 7 ล้านล้านบาท แต่สังเกตไหมครับ88.6% หรือกว่า 67.5 ล้านบัญชี มียอดเงินฝากไม่ถึง 50,000 บาท คิดเป็นเม็ดเงินเพียงแค่ 2.84 แสนล้านบาท หรือเพียง 4% ของยอดเงินฝากทั้งระบบ

ในเวลาเดียวกัน คนที่มีเงินในบัญชีเกิน 1 ล้านบาท ไปจนถึง 500 ล้านบาทขึ้นไป มีไม่ถึง 2%หรือไม่ถึง **9 แสนบัญชี** แต่มีเม็ดเงินรวมกันถึงราว **5 ล้านล้านบาท**

เห็นภาพอย่างนี้แล้ว ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า คนไทยยังมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านรายได้มากมายขนาดไหนใช่ไหมครับ

ในจำนวนบัญชีเงินฝากเหล่านี้ แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เพราะตราบใดที่เงินในบัญชีออมทรัพย์ของคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพ “ปริ่มน้ำ” ก็คงไม่มีใครสนใจที่จะดิ้นรนหรือคิดจะโยกย้ายเงินเพื่อไปหาผลตอบแทนอย่างอื่นที่ดีกว่า แต่เมื่อคุณมีเงินเหลือใช้ การนั่งดูตัวเลขเงิน ในบัญชีและเผลอ“ยิ้ม” ไปกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเพียงแค่นั้น คงเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดสักเท่าไร เพราะมันเป็นบัญชีที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำมากๆๆๆ คือเพียงประมาณ 0.75% ต่อปี

ที่น่าเสียดายก็คือ มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ปล่อยโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองหลุดลอยไปวันแล้ววันเล่า โดยเฉพาะคนที่เพิ่งสามารถเก็บหอมรอมริบ จนสามารถมีตัวเลขในบัญชีทะลุหลักแสน หรือหลักล้านบาทได้สำเร็จ คนกลุ่มนี้บางครั้งมัวแต่ “แอบปลื้ม”ไปกับตัวเลขเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นทุกๆเดือนของตัวเอง แต่ไม่เคยคิดจะเคลื่อนย้ายเงินออกไปเพื่อให้มันช่วยเราทำงานแทนเรา

“บัญชีเงินฝากประจำ” คือ การลงทุนสร้างผลตอบแทนอย่างหนึ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มีความมั่งคงสูง แต่อาจจะได้ผลตอบแทนไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น

ปัจจุบันบัญชีเงินฝากประจำจะมีอยู่ 2 รูปแบบ รูปแบบแรก คือ การฝากประจำที่กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ฝากต้องนำเงินไปฝากทุกเดือนเท่าๆกันจนกว่าจะครบตามระยะเวลา จึงจะได้รับอัตราดอกเบี้ยตามที่กำหนด ซึ่งมีข้อดีคือ ผู้ฝากจะไม่ต้องเสียอัตราภาษี หัก ณ ที่จ่าย 15% จากดอกเบี้ยที่ได้รับ เนื่องจากรัฐบาลถือว่าเป็นการส่งเสริมการออมอย่างหนึ่ง

เงินฝากประจำในรูปแบบนี้จะเหมาะสำหรับ คนที่ต้องการจะเริ่มต้นออมเงินในแต่ละเดือนและต้องการสร้างวินัยให้กับตัวเองในทางอ้อม หรืออาจจะมีเป้าหมายการออมไว้เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในวัตถุประสงค์บางอย่างที่กำหนดระยะเวลาไว้ในอนาคต

รูปแบบที่สอง คือ การฝากประจำด้วยเงินก้อนครั้งเดียว โดยมีกำหนดระยะเวลา และ อัตราผลตอบแทนในแต่ละช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งแต่ละธนาคารฯจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน แต่อยู่บนหลักการว่า หากฝาก “ล็อค”เอาไว้ยิ่งนานก็ยิ่งได้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

แต่คำแนะนำในสภาพแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วง “ขาขึ้น” อย่างในปัจจุบัน คุณควรฝากเงินระยะสั้นๆมากกว่า เพื่อให้เกิดสภาพคล่องหากต้องการโยกย้ายเงินไปหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นอีกในอนาคต

อย่างไรก็ตาม หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ในช่วงนธี้ นาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เริ่มทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงขึ้น และมีการแข่งขันกันนำเสนอโปรโมชั่น รูปแบบการฝากประจำที่พยายามจูงใจให้กับผู้ฝาก โดยส่วนใหญ่จะพยายามนำเสนออัตราดอกเบี้ยในลักษณะของ “ขั้นบันได” โดยพยายาม“ชู” อัตราดอกเบี้ยสูงสุดในช่วงท้ายๆของระยะเวลาเป็น “จุดขาย” หรือบางแห่งก็พยายามพลิกแพลง โดยการจ่ายดอกเบี้ยให้ล่วงหน้า

กลยุทธ์อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได บางครั้งอาจทำให้เรา “ตาลุก” เมื่อได้เห็นหรือได้ยิน ตัวเลขคำว่า “ดอกเบี้ยสูงสุด” แต่พอดูรายละเอียดแล้ว อาจจะให้ผลตอบแทนสูงสุดเฉพาะ 1-2 เดือนสุดท้ายของระยะเวลาเพียงเท่านั้น

การออกโปรโมชั่นเงินฝากในรูปแบบนี้ จึงอาจทำให้ผู้ฝากเงินเกิดความสับสน และลังเล ยิ่งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้ หลายคนอาจจะเกรงว่าจะเป็นการเสียโอกาส หากอัตราดอกเบี้ยขยับขึ้นไปอีก

เพราะอย่างนั้น เมื่อคุณต้องการโยกเงินมาลงในบัญชีเงินฝากประจำในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้โจทย์ใหญ่ที่ต้องตอบให้ได้ก็คือ เงื่อนไขของระยะเวลาการฝากที่สามารถถอนออกได้ก่อนกำหนด โดยยังคงสามารถรักษาสิทธิ์ได้รับอัตราดอกเบี้ยตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ ก่อนที่จะนำไปเปรียบเทียบว่าธนาคารฯใดที่ให้ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสูงสุด

นอกเหนือจากนี้ การคิด“อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย” ที่จะได้รับ หากฝากครบกำหนดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องนำมาเปรียบเทียบด้วย แต่โจทย์สำคัญคือ การหาผลตอบแทนระยะสั้นสูงที่สุดเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจมากกว่า

ขณะเดียวกัน เพื่อเปิดโอกาสให้เราสามารถถอนเงินบางส่วนออกมาจากบัญชีฯได้ ในตอนฝากถึงแม้จะฝากทั้งจำนวน แต่ก็สามารถแตกออกเป็นก้อนย่อยๆในบัญชี เพื่อให้ไม่จำเป็นต้องถอนหมดทั้งจำนวน หากต้องการจะโยกย้ายเงินไปฝาก หรือ ลงทุนในทางเลือกอื่นในอนาคต

นอกจากเงินฝากประจำแล้ว “ตั๋วแลกเงิน” หรือ BE-Bill of Exchange ก็เป็นตราสารระยะสั้นอีกประเภทหนึ่งที่ธนาคารพาณิชย์จะเสนอให้กับผู้ฝากเงิน โดยมีกำหนดระยะเวลา และอัตราดอกเบี้ยที่จะสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยจากเงินฝากประจำเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ จะกำหนดวงเงินขั้นต่ำเอาไว้ค่อนข้างสูง ซึ่งทำให้ผู้ฝากรายย่อยมีโอกาสเข้าถึงได้ยาก

ทางเลือกในการนำเงินออมที่มีไปลงทุนในการฝากประจำจึงเหมาะที่จะเป็นหนทางในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนสำหรับก้าวแรกๆของการเริ่มต้นสร้างเม็ดเงินในเส้นทางของการสร้างความมั่งคั่งก่อนที่จะเริ่มไปสู่ทางเลือกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้อย่าง พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม หรือ หุ้น

มาถึงตรงนี้ ใครที่ยังมัวแต่เอาเงินออมที่มีอยู่ไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ฯอยู่อีกก็คงต้อง”ลุกขึ้นมาทำการบ้านกันแล้วละครับ

ที่มา
คอลัมน์ 101 ปฏิบัติการพลิกชีวิต ผู้จัดการออนไลน์

เทคนิคออมเงินง่ายๆ สไตล์ ติ๊ก ชีโร่

แบ่งรายได้ เล่นแชร์กับตัวเอง เทคนิคออมเงินง่ายๆ สไตล์ ติ๊ก ชีโร่

เมื่อมีรายได้เข้ามา 10 บาท เราควรแบ่งเก็บไว้ 2 บาท หรืออาจจะมี 10 บาท อาจจะเก็บไว้ 1 บาท ก็ได้ เพราะแต่ละคนรายได้ที่เข้ามาและรายจ่ายไม่เท่ากัน แต่อยากให้จำไว้เสมอว่าเมื่อมีรายได้เข้ามาให้แบ่งเก็บทันที เหมือนเราเป็นการเล่นแชร์กับตัวเอง พอวันหนึ่งเรากลับมาดูเงินในบัญชี ก็จะเห็นว่าเรามีเงินที่เก็บไว้มากแค่ไหน และเงินตรงนี้ก็ยังสามารถทำให้เราทำสิ่งที่เราอยากทำได้ด้วย"

ถ้าเอ๋ยชื่อ “โต้ชีริก ติ๊กชีโร่” เราจะนึกถึงหนุ่มอารมณ์ดีที่ชอบทำอะไรแหวกแนวไม่เหมือนใคร ทั้งการพูดจาออกสื่อและการแต่งตัวที่แร๊งมาก ๆ แต่ในวันนี้หนุ่มติ๊กชีโร่ดูจะแตกต่างไปจากที่เคยเห็นเหมือนคนละคนไปเลย เมื่อเราถามถึงเรื่องปัญหาด้านเศรษฐกิจและการออมเงิน ซึ่งจะดูสุขุม จริงจังและน้ำเสียงราบเรียบดูราวกับไม่ใช่ "ติ๊กชีโร่" ที่เราเคยเห็นบนเวที ทำให้เราเห็นว่าหนุ่มคนนี้นอกจากจะมีดีในด้านของดนตรีแล้ว เขายังมีอะไรที่เราน่าค้นหาอีกเยอะมาก ๆ และเราลองมาดูสิว่าหนุ่มคนนี้เขามีแง่คิดอย่างไรกันบ้างกับการออมเงิน...

“ติ๊ก ชีโร่” เริ่มบอกว่า ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจในแถบเอเชียมีการแข่งขันกันอย่างมาก ถ้าจะมองไปถึงอนาคตแล้วศักยภาพในแถบเอเชียถือว่าดีกว่าแถบยุโรป หรืออเมริกาเสียอีก เพราะจะเห็นได้ว่าการผลิตรถยนต์ของประเทศจีนมีการขยายการผลิตมากที่สุด ฉะนั้นจึงเป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต ส่วนในบ้านเราภาพรวมของเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้นหรือดีขึ้นมาก เพราะเราได้ผ่านจุดต่ำสุดมากแล้ว และนักลงทุนก็เริ่มเชื่อมั่นกับประเทศไทยมากขึ้นด้วย

สำหรับธุรกิจ โดนัท “โด ดี โด” ในช่วงมีเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ยอมรับว่าธุรกิจของผมก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่พอรัฐบาลเข้ามาช่วยเราก็ดีใจ แต่ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปขอให้รัฐบาลช่วยเหลือแต่อย่างใด เพราะเราไม่ได้ผลกระทบโดยตรงเหมือนกับแม่ค้าหรือพ่อค้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุโดยตรง สำหรับธุรกิจดังกล่าวขณะนี้ถือว่าไปได้สวย โดยปัจจุบันเรามีอยู่ทั้งหมด 7 สาขา ได้แก่ แฟชั่นไอส์แลนด์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาลัยเอสแบค ตลาดยิ่งเจริญ มหาวิทยาลัยรังสิต เดอะมอลโคราช และคลังพล่าซ่าโคราช

ส่วนงานในวงการบันเทิงขณะนี้ “ติ๊ก” กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 10 ปี โดยใช้ชื่อว่า “ติ๊ก ชีโร่ ชัดเจน ไลฟ์ อิน คอนเสิร์ต” ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ นอกจากนี้แล้ว ยังมีงานศิลปะ music in art exhibition 4th by TIK SHIRO ซึ่งเป็นงานศิลปะครั้งแรกของโลกที่จะทำให้ภาพมีเสียง ด้วยระบบกลไกเทคโนโลยี ภายใต้แนวคิดmusic in art ซึ่งเราจะไปวาดกันที่ประเทศยุโรป รวมถึงเร็ว ๆ นี้จะมีภาพยนตร์เรื่อง “อีเห็ดสด” ด้วย

และจากรายได้ที่เข้ามาทั้งธุรกิจส่วนตัว หรืองานในวงการบันเทิง “ติ๊ก” บอกว่า “ผมไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญเรื่องเงินมากสักเท่าไหร่ เงินยังไม่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่สิ่งที่สำคัญคือเรื่องของจริยธรรมมากกว่า เช่นเราจะเห็นได้จากหลายคนที่หาเงินมาได้เยอะแยะแต่ไม่สามารถใช้ได้ก็มี โดนคนอื่นหลอก คนอื่นโกงก็มี เ แต่ถ้าเราอยู่อย่างพอดีและพอเพียงก็จะให้ชีวิตเรามีความสุข

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีรายได้เข้ามา “ติ๊ก” จะแบ่งเงินส่วนหนึ่งเป็นทุนการศึกษาของลูก อีกส่วนเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านและใช้กับงานด้านศิลปะที่เป็นงานที่รักมาก นอกจากนี้เงินจากการทำธุรกิจก็จะนำมาพัฒนาร้านปรับเปลี่ยนปรับปรุงธุรกิจเพื่อเป็นการต่อยอดอีกทีหนึ่ง

“ติ๊ก” บอกเพิ่มเติมว่า การออมเงินมาก ๆ ก็ถือว่าไม่ดี อาจจะให้โทษกับเราก็ได้ เพราะจะเห็นได้ว่าบางคนเอาแต่อดออมเงินไม่ยอมกินอะไรเลย ผลสุดท้ายตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ หรืออาจจะโดนเขาหลอกเขาโกงได้ แทนที่จะสบายก็ลำบากมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเราควรอดออมแต่พอประมาณ ออมอย่างมีสติ และมีเหตุผล


“ผมจะสอนลูกผมเหมือนกับที่คุณแม่เคยสอนผมเสมอว่า ถ้าอยากได้อะไรเราต้องได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง แล้วเราจะภูมิใจ ดูแลมันเป็นอย่างดี เราก็จะมอบสิ่งที่คุณแม่สอนนี้ให้กับคนในครอบครัวของเราด้วย เพราะตัวผมเองทำงานตั้งแต่อายุ 15 ปี ด้วยการับจ้างขายน้ำอัดลมในสนามฟุตบอล ต่อมาก็ได้เข้าไปทำงานในโรงงานไอศรีม วาดการ์ตูนขาย ทำหัตถกรรมต่าง ๆ สาเหตุที่ต้องทำหลายอย่างเพราะต้องการเก็บเงินซื้อเครื่องเสียงให้กับตัวเอง”

เมื่อว่างจากการทำงาน “ติ๊ก” บอกว่า “ถ้าผมว่างเมื่อไหร่ ผมมักจะชอบกอดลูก เพื่อให้ความรักกับเขาให้มาก ๆ เพราะเราทำงานตรงนี้เวลาที่จะให้กับครอบครัวมีน้อยมาก แต่ครอบครัวของผมอบอุ่นมากมีภรรยาที่ดี มีลูกที่น่ารัก นอกจากนี้แล้วถ้าว่างจากการทำงานหลาย ๆ วัน ผมก็จะท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ กับครอบครัว”

สุดท้าย “ติ๊ก ชิโร่” ฝากบอกว่า เมื่อมีรายได้เข้ามา 10 บาท เราควรแบ่งเก็บไว้ 2 บาท หรืออาจจะมี 10 บาท อาจจะเก็บไว้ 1 บาท ก็ได้ เพราะแต่ละคนรายได้ที่เข้ามาและรายจ่ายไม่เท่ากัน แต่อยากให้จำไว้เสมอว่าเมื่อมีรายได้เข้ามาให้แบ่งเก็บทันที เหมือนเราเป็นการเล่นแชร์กับตัวเองพอวันหนึ่งเรากลับมาดูเงินในบัญชีก็จะเห็นว่าเรามีเงินที่เก็บไว้มากแค่ไหน และเงินตรงนี้ก็ยังสามารถทำให้เราทำสิ่งที่เราอยากทำได้ด้วย เช่นถ้าใครอยากมีธุรกิจเล็ก ๆ ก็อาจจะทำได้ หรืออาจจะเก็บไว้ในยามฉุกเฉินก็ได้

ชื่อ - นามสกุล มนัสวิน นันทเสน (ติ๊ก ชีโร่)
วันเดือนปีเกิด 25 กันยายน 2504
การศึกษา กำลังศึกษาปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาตร์
มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
ปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารจัดการสาธารณะ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน สาขาศิลปกรรม
งานปัจจุบัน เจ้าของธุรกิจโดนัด “โด ดี โด”



ที่มา
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2553 11:39 น.

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

เป็นนักเก็งกำไรอย่างไรให้ดีที่สุด

ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกตก็คงพอจะทราบดีว่า ถึงแม้ผมจะสนับสนุนแนวคิดในเรื่องของการให้เงินทำงานผ่านทางเลือกในการลงทุนที่มีอยู่อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะ “หุ้น” แต่ผมก็ไม่
ค่อยจะสนับสนุนแนวคิดในการลงทุนในลักษณะการเก็งกำไร
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะที่ผ่านมาผมไม่ค่อยจะพบคนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในลักษณะดังกล่าวมากนัก ยกเว้นบรรดาขาใหญ่เงินหนา มากบารมีทางการเมือง แถมยังมีเครือข่ายยุบยับ ที่ประพฤติตัวเป็น “นักปั่นหุ้น” ที่อาศัยความโลภของคนอื่นในการทำเงิน ท้าทายกฏเกณฑ์ของทางการฯที่เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตัวกันมาโลดแล่นอยู่ในตลาดหุ้นฯทุกยุคทุกสมัย

ปัจจุบันถึงแม้บรรดา“นักเก็งกำไร” จะพยายามอาศัยวิธีการต่างๆในการวิเคราะห์หุ้น เช่นการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่หลายคนก็ยังสงสัยว่า หากวิธีการเหล่านี้ได้ผลดีจริงๆหรือ ทำไมนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จึงยังขาดทุน ทั้งๆที่บางครั้งตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ “กระทิง”เสียด้วยซ้ำไป

ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้น เราจะอาศัยข้อมูล และปัจจัยที่เป็นตัวแปรในด้านต่างๆซึ่งจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทฯ โดยวิเคราะห์ถึงความต้องการสินค้า และปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อทำการประเมินและคาดคะเนไปถึงผลประกอบการของบริษัทฯที่เราเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นโดยนอกเหนือจากต้องการผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลแล้ว เรายังหวังถึงกำไรที่จะได้จ่ากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) ที่จะได้รับ หากระดับราคาของหุ้นเพิ่มสูงขึ้น

แต่มันไม่ได้นำเอาพฤติกรรมของนักลงทุนมาวิเคราะห์รวมเข้าไปด้วย ต่อมาจึงเริ่มมีการหันมาใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคขึ้น ซึ่งในระยะแรกๆที่มันถูกนำมาใช้ในช่วงทศวรรษปี 70 นั้น มันถูกวิจารณ์ว่าเป็น “ปาหี่”หลอกต้มนักลงทุนด้วยซ้ำไป

หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเชื่อว่า “นักเก็งกำไร” คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในทุกๆตลาดและทุกๆช่วงเวลา และนักเก็งกำไรเหล่านี้มักจะทำสิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา จนกลายเป็นพฤติกรรมตามหมู่ของฝูงชน ที่จะสังเกตเห็นได้จนเกิดเป็นสถิติที่น่าเชื่อถือขึ้นมา

บรรดานักวิเคราะห์ทางเทคนิค มักจะยืนยันว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น มีข้อได้เปรียบอยู่มากมาย เพราะมันคือการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบัน และผลจากในอดีต ซึ่งจะทำให้สามารถคาดคะเนถึงความเป็นไปได้ในอนาคตได้มากขึ้น
เพราะอย่างนั้น คุณจึงมักจะได้เห็นหรือได้ยิน บรรดานักวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่อาจจะเป็น“มาร์เก็ตติ้ง”ตามห้องค้า หรือ “นักวิเคราะห์” ในแวดวงโบรคเกอร์ที่มักจะให้คำแนะนำ เกี่ยวกับเรื่อง ของ “แนวรับ-แนวต้าน” “ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง” และ “กราฟ”สารพัดรูปแบบ เพื่อประกอบการคาดคะเนแนวโน้มของระดับราคาหุ้นในแต่ละวัน

แต่ผมคงต้องพูดตามตรงเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคว่า ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการช่วยให้คุณสามารถที่จะมีกำไรได้อย่างสม่ำเสมอครับ ต่อให้คุณเล่นตามตัวชี้วัด หรือ Indicator ต่างๆหรือ นั่งเพ่งมองหา “สัญญาณ” จากรูปแบบต่างๆในกราฟ ก็ไม่ต่างอะไรกับการ "ขูด”ขอ “หวย”ตามต้นไม้ประหลาดหรอกครับ

ถึงที่สุดแล้วมันก็ยังคงเป็นเพียงเครื่องมือวิเคราะห์ตัวหนึ่ง และนักเก็งกำไรมือสมัครเล่นส่วนใหญ่ก็ยังจะขาดทุนอยู่ดีครับ เพราะบ่อยครั้งที่บรรดามือสมัครเล่นเหล่านี้มักจะไม่ได้ลงมือกระทำในสิ่งที่ควรจะทำ ทั้งๆที่มีสัญญาณทางเทคนิคบอกเอาไว้

อะไรคือ*“กำแพง” ที่ขวางกั้น ระหว่างการวิเคราะห์ กับสิ่งที่บรรดมือสมัครเล่นปฏิบัติจริงๆMark J.Douglas เซียนหุ้นคนหนึ่งที่เขียนตำรา Trading in the Zone เรียกมันว่า “ช่องว่างทางจิตวิทยา”และช่องว่างนี้เองที่ทำให้ “การเก็งกำไร” เป็นสิ่งที่ยากยิ่งและต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย

การที่เราสามารถเห็นโอกาสบางอย่างขึ้นมาและทำในสิ่งต่างๆอย่างที่เราคิดนั้น ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ง่าย แต่นี่คือสิ่งที่แยกนักเก็งกำไรที่ล้มเหลวออกจากนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เครื่องมือทางเทคนิคชิ้นใหม่ล่าสุด หรือความสามารถในการวิเคราะห์ที่ละเอียดกว่าเดิม

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องเรียนรู้ที่จะคิดและสร้างทัศนคติในทางที่ต่างออกไปซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถตอบสนองต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดีพวกเขาได้เข้าถึงความเชื่อบางอย่าง ซึ่งช่วยให้สามารถรักษาวินัยและสมาธิเอาไว้ได้ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ ความเชื่อมั่นในตนเอง แม้ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดครับ

นักเก็งกำไรชั้นยอดนั้น ต้องสามารถซื้อ-ขายได้โดยไร้ความลังเลใจ แม้ในช่วงเวลาที่ขาดทุน พวกเขาทำสิ่งต่างๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยยอมรับถึงการขาดทุนที่เกิดขึ้นครับ
การเก็งกำไรได้ดีนั้น คือการที่คุณสามารถเช้าซื้อขาย ได้ตามกฎหรือระบบของคุณ ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะได้กำไรหรือขาดทุน และนี่คือสิ่งที่นักเก็งกำไรชั้นยอดทำครับ

Mark J.Douglas พูดเอาไว้ว่า นักเก็งกำไรที่ดี ต้องสามารถตัดขาดทุนได้ โดยไร้ความลังเลใจโดยไม่เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม และนี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างที่ทำให้สามารถในการที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า

หากว่าคุณขายมันทิ้งไปแล้ว หรือวันนี้จบลงแล้ว คุณต้องก้าวต่อไป คุณต้องเตรียมตัวสำหรับวันใหม่ และโอกาสใหม่ๆ แต่หากว่าคุณยังถูกครอบงำจากการเก็งกำไรครั้งที่เพิ่งคุณขาดทุนมา คุณจะถูกครอบงำโดยอารมณ์ และคุณจะไม่สามารถตั้งสมาธิไปยังโอกาสครั้งใหม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้นักเก็งกำไรมือสมัครเล่นส่วนใหญ่มักจะถือหุ้นที่ขาดทุนอยู่ก็เพราะ พวกเขายังคงรู้สึกเจ็บปวดจากการขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น และไม่ยอมรับถึงความเสี่ยงจากการลงทุนได้นั่นเอง

พวกเขาควรรู้สึกอย่างซาบซึ้งว่า เมื่อคุณเข้าซื้อหุ้น คุณอาจคิดผิดก็ได้ และมันยังจะเกิดขึ้นอยู่เรื่อยไป และเมื่อพวกเขาสามารถยอมรับความจริงว่าไม่สามารถวิเคราะห์ได้ถูกต้องทุกครั้ง หรือ กราฟอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้ การเก็งกำไรจึงอาจผิดพลาดได้

แต่หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อไรที่มันวิ่งสวนทางกับสิ่งที่วิเคราะห์ผิดไป แต่ก็ยังไม่ยอมรับ ยังคงถือขาดทุนอยู่ต่อไป ในที่สุดมันก็จะทำให้เริ่ม “ตาบอด” จนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆเลยกว่า 95% ของความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นในการเก็งกำไร ที่ทำให้เงินของคุณหายไปกับตานั้นเกิดมาจากทัศนคติของคุณเองเกี่ยวกับเรื่อง

“ความกลัวในการเก็งกำไร 4 ประเภท” นั่นก็คือ ความกลัวที่จะผิดพลาด ความกลัวที่จะขาดทุน กลัวที่จะพลาดโอกาส และกลัวที่กำไรจะหายไปนั่นเอง
ตราบใดที่คุณยังหวั่นไหวจากความกลัวเหล่านี้คุณจะไม่สามารถเชื่อมั่นในตนเองได ้ หรือแม้กระทั่งกระทำสิ่งที่คุณคิดได้ละก็ ความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอในการเก็งกำไรจะไม่มีวันเป็นไปได้สำหรับคุณครับ

มาถึงตรงนี้คงได้คำตอบนะครับ ชีวิต มีทางที่ต้องเลือกเดินครับ เพราะหากจะหวังเอาดีทั้งสองทาง มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับบนโลกแห่งการลงทุน ลองถามใจตัวเองให้ดีว่า คุณจะเลือกที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว หรือต้องการจะเป็น “นักเก็งกำไร” แต่ที่สำคัญแน่ใจหรือครับว่า ขนาดของ”หัวใจ”ของคุณนั้นแกร่งพอ!!!

มาถึงตรงนี้ หลายคนคงพอจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ผมไม่ค่อยสนับสนุนให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจนถึงขั้นพยายามยกระดับขึ้นเป็น นักลงทุนประเภทเก็งกำไรใน “หุ้น”สักเท่าไร เพราะผมไม่อยากให้คุณกลายเป็นคนที่ไม่ธรรมดาในแบบสุดขั้วที่ยึดเอา“เงิน”เป็นตัวตั้งในชีวิตมากจนแทบไม่เหลือความสุขที่แท้จริงในชีวิตอีกต่อไป

ตอนนี้คุณได้เรียนรู้และเข้าใจแล้วว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ระหว่าง “นักเก็งกำไรมืออาชีพ” กับ “นักเก็งกำไรมือสมัครเล่น”

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จนั้น จะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ ขนาดของ “หัวใจ” ที่พร้อมจะเข้าทำการซื้อ-ขายหุ้นในตลาดฯโดยปราศจากความกลัว สามารถที่จะปล่อยวาง และเชิดหน้าก้าวเดินต่อไปเพื่อหาโอกาสใหม่ๆในตลาดฯอยู่เสมอ ไม่ยึดติดกับความเจ็บปวดจากการขาดทุน หรือมัวแต่ “ฟูมฟาย”ผิดหวังกับสิ่งที่ได้ทำพลาดไปแล้ว

หากคุณมั่นใจในขนาดของ “หัวใจ” ของคุณ หรือเชื่อว่า “แกร่ง” พอ ลองเขยิบไปดูกันอีกสักนิดก็ได้ว่า อะไรคือขั้นตอน หรือวิธีการที่สำคัญในการเป็นนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยสนับสนุนเรื่องนี้สักเท่าไรก็ตาม แต่เพื่อพัฒนาความเชื่อและทัศนคติที่ถูกต้องในการเล่นหุ้นของคุณ

ในหนังสือ Trading in The Zone ของ Marc J. Douglas (ตัวเอียง) ได้วางแนวทางฝึกหัด หรือ Guide Line (ตัวเอียง) สำหรับการยกระดับขึ้นมาเป็นนักเก็งกำไรเอาไว้ ในตอน Trading an Edge like Casino (ตัวเอียง) หรือ “เก็งกำไรอย่างไรให้มีแต้มต่อ"

การเก็งกำไรที่มีความได้เปรียบนั้น คือการที่คุณสามารถที่จะมองเห็นโอกาสจากการที่ตลาดฯได้เผยออกมาในทุกๆวัน และนี่คือสิ่งที่เขาเรียกมันว่า Edge หรือการมองเห็นโอกาส สำหรับการซื้อ-ขายครั้งใหม่ๆ

แนวทางดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในการฝึกฝนจิตใจของคุณ เพื่อเรียนรู้การตอบสนองที่ถูกต้องจากสิ่งที่ตลาดฯเผยออกมา และยิ่งกว่านั้นคือการเรียนรู้ที่จะเป็น“นักเก็งกำไรที่มีวินัย”ที่สามารถทำตามกฎได้อย่างเคร่งครัด จนทำให้“คุณคือระบบ และระบบกลายเป็นตัวคุณ!”

เริ่มต้นจากการลองเลือกหุ้นมาสักตัวหนึ่ง โดยควรเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องเป็นอย่างดี และควรมีความผันผวนสูงสักหน่อย โดยอาจจะเริ่มจากหุ้นประเภท “บลูชิพ”บางตัวก็ได้หลังจากที่เราเลือกหุ้นที่เราจะทดลองฝึกดูได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกแนวทางที่เราจะซื้อขายกับมัน เพื่อให้คุณมีระบบการลงทุนของคุณเอง

มันอาจะเป็นการวิเคราะห์พื้นฐานหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็ได้เพราะการฝึกนี้ไม่เกี่ยวกับว่าระบบหรือวิธีการของคุณ ไม่เกี่ยวกับว่าเมื่อคุณเห็นกราฟ แล้วคุณจะคิดอย่างไร และมันไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะได้กำไรหรือไม่ แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า “คุณจะสามารถทำตามระบบของคุณได้ไหม” โดยไม่ต้องสนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

ไม่ว่าระบบของคุณจะเป็นอย่างไรนั้น มันก็ควรจะมีองค์ประกอบ คือ มันต้องสามารถส่ง“สัญญาณ” บอกจุดเข้าซื้อให้คุณได้ ทำให้คุณรู้ว่าตรงไหนที่ควรตัดขาดทุน มีระยะเวลาหรือTime Frame ที่ชัดเจน โดยควรทดลองซื้อ-ขายเป็นจำนวนหลายๆครั้ง และมีวิธีการวัดผลที่แน่นอน และมีการจัดการความเสี่ยงควบคู่กันไปด้วย

โดยเมื่อพูดถึงการเข้าซื้อนั้น ตัวแปรที่ใช้ในการบ่งชี้ถึงโอกาสของคุณ ควรจะมีกฏที่ชัดเจนและแน่นอนว่า ทุกๆครั้งที่หุ้น X หล่นลงมาชนกับเส้นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง Moving Average-MA 20 วัน (ตัวเอียง)ในขณะที่ตลาดเป็นขาขึ้น จะเป็นจังหวะของการซื้อ หรือทุกครั้งที่เส้น Moving Average Convergence-Divergence- MACD (ตัวเอียง)หรือเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 2 เส้นตัดขึ้นจะเข้าซื้อ

พูดง่ายๆว่า หากเมื่อไรสภาพตลาดฯเข้าทางกับกฎการซื้อของคุณ จึงจะเป็นจุดซื้อของคุณ หากไม่ก็ไม่ควรซื้อ จะซื้อก็ต่อเมื่อมันตรงกับกฎหรือระบบของคุณเท่านั้น!
ในทางกลับกัน “การตัดขาดทุน” ก็เหมือนกับการซื้อหุ้นเช่นกัน ทุกคนควรจะมีกฎที่แน่นอนในการขายด้วย ไม่ว่าจะเป็นเมื่อมันหลุดเส้น MA 20 วัน หรือหลุดเส้น MA 50 วัน หรืออะไรก็ตาม ต้องมีกฏที่แน่นอนสำหรับการขาดทุนเช่นเดียวกับการซื้อครับ เพราะนั่นจะมีผลอย่างมากมายต่อผลกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหุ้นนั้นไม่วิ่งไปอย่างที่คิดระบบของคุณยังต้องสามารถบอกได้ว่า ควรจะยอมเสี่ยงแค่ไหนหากว่าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด พูดง่ายๆว่าหากทำตามระบบ มันจะต้องบอกได้ว่าจะต้องทำอย่างไร รอนานแค่ไหน หรือจะยอมเสี่ยงมากเท่าไร และในเวลาเดียวกัน มันจะต้องมีจุดๆหนึ่งที่คุณจะไม่สามารถ ทำกำไรเพิ่มได้อีกแล้ว และควรที่จะขายออกมา ดีกว่าหวังให้มันวิ่งกลับมาที่เดิมครับ

เรื่องของกรอบเวลา มันจะอยู่บนระยะเวลานานแค่ไหนก็ได ้ แต่ส่วนใหญ่จะยึดโยงกับ กราฟ ราย5 นาที 30 นาที หรือกราฟรายวัน และที่สำคัญ กฎการเข้าซื้อและขายของคุณต้องใช้กรอบเวลาเดียวกันเช่นหากใช้กราฟราย 15 นาที ในการเข้าซื้อระหว่างวัน ก็ต้องใช้กราฟราย 15 นาทีในการขายด้วย

ในเบื้องต้น Marc ให้คำแนะนำไว้ว่า การเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด หรือมีความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรมากที่สุด คือ “การซื้อเมื่อหุ้นซื้อหุ้นพักตัว” ในแนวโน้มขาขึ้น หรือ “การขายชอร์ทเมื่อหุ้นเด้งขึ้น”ขณะที่มันยังอยู่ในขาลงจุดสำคัญที่ทำให้นักเก็งกำไรส่วนใหญ่ล้มเหลวก็เพราะ บ่อยครั้งทั้งๆที่มีกำไร แต่ก็จะทนไม่ไหวรีบขายออกมา ทำให้ได้กำไรน้อยกว่าที่ควรจะเป็นทั้งๆที่กำลังเดินมาถูกทาง ปัญหาในเรื่องนี้ก็เพราะตามธรรมชาติ ตลาดฯไม่เคยวิ่งขึ้นเป็นเส้นตรง มันจะขึ้นๆลงๆ หรือย่อตัวเสมอ

เพื่อก้าวไปอีกขั้น และวัดผลของระบบที่เรากำหนดขึ้นมาเอง ควรลองแบ่งเงินทุนออกเป็นส่วนๆโดยไม่วางเงินทั้งหมดลงไปในหุ้นแค่หนึ่งหรือสองตัวครับ ควรจะกระจายเงินลงไปในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน เพื่อประกันความเสี่ยงในกรณีหุ้นบางตัวร่วงลงไป เงินทั้งหมดของคุณจะไม่หายไป

นักเก็งกำไรทั่วไปนั้น มักเอาชีวิตไปแขวนไว้กับผลการซื้อขายครั้งที่พึ่งจะผ่านๆมา หากมันทำกำไรได้ เขาจะกลับไปใช้มัน แต่หากมันไม่มีกำไร เขาก็จะเลิกใช้มัน ดังนั้นคุณควรจะทดสอบระบบของคุณโดยการทดลองซื้อขายในกระดาษก่อน เพื่อสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า อะไรคือเหตุผลในการตัดสินใจ จนคุณสามารถพูดได้ว่า นี่คือ“กฎของผม”
ที่สำคัญอีกอย่างคือ การกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือตัดขาดทุนในระหว่างการถือหุ้นเพื่อความสบายใจ ซึ่งมันแตกต่างๆโดยสิ้นเชิงกับการรับรู้ถึงความเสี่ยง

การฝึกแบบนี้ จะทำให้คุณกลายเป็นระบบ ทำตามระบบ และระบบจะฝึกคุณเอง พยายามทำตามระบบอย่างน้อย 20 ครั้ง ตามกฎของคุณ ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อขายครั้งต่อไป แต่อีก 20 ครั้งต่อไป และห้ามละเมิดกฎเด็ดขาด

บทเรียนจากการทดลอง จะทำให้คุณได้ตระหนักว่า ทุกอย่างมันจะใช้การไม่ได้ ถ้าคุณไม่ทำตามระบบ แต่หากคุณสามารถปฏิบัติตามกฏเหล่านี้ได้ คุณก็จะอยู่ในข่ายที่จะเหมือนขึ้นสววรค์ เพราะมันจะทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างที่ต้องการ มองเห็นโอกาสในการทำกำไรได้ตลอดเวลา โดยไม่รู้สึกว่าระบบหรือตลาดฯนั้นจะคอยเล่นงานคุณอยู่เสมอ

นี่คือขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาความเชื่อและทัศนคติที่ถูกต้องของคุณ และนี่คือสิ่งที่ MarcJ.Douglas เขียนเอาไว้ในหนังสือ Trading in the Zone บางคนมาถึงตรงนี้ อาจจะประหลาดใจว่า ทำไมไม่เห็นมีใครเคยบอกเรื่องเหล่านี้มาก่อน คำตอบง่ายๆก็คือ เพราะมันเป็นเรื่องยากพอสมควร ดังนั้นหากคุณยังอยากเดินไปต่อในเส้นทางนี้ ผมแนะนำให้ลองไปซื้อหนังสือเล่มข้างบนมาอ่านแบบเจาะลึกกันเอาเองดีกว่าครับ


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์
7 กันยายน 2553

ตรวจสุขภาพการเงินหรือยัง

สุขภาพทางการเงิน

ที่ผ่านมาผมได้พยายามที่จะพาคุณๆที่ไม่ต้องการเป็นคนธรรมดา เดินผ่านเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงในปฏิบัติการเพื่อพลิกชีวิต เพื่อทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายในการมีอิสรภาพทางการเงิน สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบั้นปลาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินๆทองๆอีกต่อไป

เพราะมีความเชื่อว่าเหมือนที่ตัวเองเคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้ว คือ คนส่วนใหญ่มักจะเริ่มสนใจเรื่องเงินๆทองๆก็ต่อเมื่อชีวิตเริ่มเกิดอาการสะดุด มีปัญหาติดๆขัดๆเรื่องเงิน โดยเฉพาะเรื่องหนี้สิน จึงค่อยเริ่มพยายามมองหาทางออกจากหุบเหวแห่งความทุกข์ ซึ่งสำหรับบางคนก็อาจจะเกือบสายเกินไป

ปฏิบัติการพลิกชีวิต จึงเริ่มต้นจากการชี้ให้คุณเห็นความสำคัญต่อ เรื่องเงินๆทองๆ และพยายามปลุกให้คนตื่นมี จิตวิญญาณ ของ“ผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้” และมุ่งมั่นกับพันธะสัญญาในการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งสำคัญที่จะต้องยอมเผชิญกับความยากลำบากอย่างแสนสาหัสในช่วงแรกๆของการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการเปลี่ยนแปลงที่ยากลำบากที่สุดจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น ที่คุณจะต้องกลับมาสร้างวินัยในการใช้จ่าย เข้าสู่ปฏิบัติการในการล้างหนด โดยเริ่มต้นจากหนี้ก้อนเล็กที่สุด เพื่อสร้างให้เกิด “โมเมนตัม” ของลูกบอลหิมะหรือ Snow Ball ค่อยๆจัดระบบเรื่องเงินๆทองๆในชีวิตเสียใหม่ จนสามารถจะมีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายหนี้สินต่างๆที่มีอยู่
เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมาได้แล้ว ก็จะเป็นช่วงของการสร้างเกราะป้องกันตัว โดยการสร้าง "กองทุนฉุกเฉิน” ขึ้นมา เพื่อเป็นหลักประกันรองรับ “อุบัติเหตุทางการเงิน” ที่อาจจะพุ่งเข้ามาใส่แบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
หลังจากนั้น ผมเสนอให้เริ่มคุณทำตัวให้เป็นคนมีวิสัยทัศน์มองไปในระยะยาว โดยการตั้งเป้าหมายของการลงทุนใน “กองทุนเพื่อวัยชรา” ผ่านกลไกที่ภาครัฐสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม หรือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ในเวลาเดียวกัน เพื่อสร้างกองทุนเพื่อวัยเกษียณให้เพิ่มพูนมากขึ้น ผมยังแนะนำให้รู้จักใช้ประโยชน์ “แต้มต่อ” ในการลงทุนใน การทำประกันชีวิต หรือ การซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMFRetirementMutual Fund และ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF Long-term Mutual Fund เพื่อใช้สิทธิ์ประโยชน์การช่วยลดหย่อนภาษี
ในระหว่างเส้นทางการเปลี่ยนแปลง ผมสนับสนุนให้เริ่มเก็บเงินออมและนำเงินไปลงทุนในการสร้าง “กองทุนเพื่อความมั่งคั่ง” โดยนำเม็ดเงินไปลงทุนในทางเลือกในการลงทุนประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สินทรัพย์ทางการเงิน ประเภทตราสารหนี้ หรือ ตราสารทุน หรือ กองทุนรวมประเภทต่างๆ หรือสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หรือ ของสะสมที่มีมูลค่า โดยยึดหลักการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากจะรู้ว่า อะไรจะเป็นตัวตัดสินได้ว่า ณ ปัจจุบัน สุขภาพทางการเงินของเราดีขึ้นหรือยัง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการตรวจเช็คสุขภาพร่างกายประจำปี
คงเหมือนคนทั่วๆไปนั่นแหละครับ ในช่วงที่ยังอยู่ในช่วงต้นๆของวัยทำงาน เรามักจะปล่อยชีวิตให้ลื่นไหลไปตามสภาพ ไม่เคยมีความคิดเรื่องการตรวจเช็คสุขภาพอยู่ในสมอง แต่เมื่อก้าวย่างเข้าสู่วัยกลางคน เราจึงเริ่มหันมาสนใจ
ล่าสุดผมใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่กว่าครึ่งวันในการตรวจทุกอย่าง ทั้งตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะเอ็กซเรย์ปอด เป่าสี อัลตราซาวด์ช่องท้อง วิ่งสายพาน และ ตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก
โชคดีที่สุขภาพโดยรวมของผมอยู่ในเกณฑ์ดีไม่มีปัญหาอะไรน่าหนักใจ ถึงแม้จะระดับน้ำตาลค่อนข้างสูง แต่ก็ยังไม่น่าวิตก แพทย์ลงความเห็นว่า ยังมีชีวิตต่อไปได้อีกนาน หากออกกำลังกายสม่ำเสมอเหมือนในปัจจุบัน แต่ต้องระวังเรื่องการรับประทานของหวาน เพราะเริ่มมี Triglyceride และ LDL สูง
สำหรับการตรวจสุขภาพทางการเงิน ผมมีวิธีเช็คอย่างง่ายๆ โดยดูจาก งบการเงิน หรือ งบที่แสดง“ความมั่งคั่งสุทธิ”โดยการนำเอาหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมด ไปหักออกจากทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด ก็จะทำให้ทราบภาพรวมว่า คุณมีความมั่งคั่งสุทธิมากน้อยแค่ไหน
ขณะเดียวกัน เมื่อหันไปดู งบกระแสเงินสด ซึ่งเป็นตัวสะท้อน รายได้-รายจ่าย และ หนี้สินในแต่ละเดือน จะทำให้ทราบถึงสถานการณ์ทางการเงิน ณ ปัจจุบันและอนาคตของคุณได้ไม่ยาก เพราะหากผลสุทธิออกมาเป็นลบ ก็แสดงว่า คุณอาจจะต้องใช้เงินออมที่มีอยู่ หรือ กู้เงินมาชดเชยรายได้ส่วนที่ขาด ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ ความมั่งคั่งของคุณลดลง
เพี่อให้สะดวก และ เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น มีอัตราส่วนทางการเงินมาตรฐาน 6 ประการที่อาจจะใช้เป็นตัวชี้วัดว่า สุขภาพทางการเงินของคุณเยี่ยมแค่ไหน คือ
1.อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน หรือ กองทุนฉุกเฉิน ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ มีอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคือ 3-6 เดือน ของค่าใช้จ่ายประจำเดือนหรือไม่
2.อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน หรือ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ มีอยู่มากพอที่จะจ่ายหนี้ระยะสั้นในแต่ละเดือนได้เพียงพอหรือไม่
3.อัตราหนี้สินรวมไม่ควรจะเกินกว่า ”ครึ่งหนึ่ง” ของ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ที่มีอยู่ ณ ขณะนั้นซึ่งยิ่งต่ำเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
4.อัตราส่วนในการจ่ายหนี้สินในแต่ละเดือน ไม่ควรสูงกว่า 20% ของรายได้ ถึงแม้ว่า ในหลักการทั่วไป เราอาจจะสามารถมีหนี้สินจากการกู้ยืม เพื่อ ซื้อบ้าน หรือ รถยนต์ ได้ไม่เกิน 28-36% แต่ยิ่งมีหนี้น้อยเท่าไร ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางการเงินของเรา
5.อัตราส่วนในการออมเพื่อลงทุนสร้างความมั่งคั่งในแต่ละเดือน ควรเกินกว่า 10% ของรายได้ เพราะยิ่งนำเงินออมไปลงทุนได้มากเท่าไรก็ยิ่งช่วยสร้างความมั่งคั่งสุทธิให้เราเพิ่มมากขึ้น
6.อัตราส่วนในการลงทุนหรือสินทรัพย์การลงทุนของเรามีมากกว่าครึ่งของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเราในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวแสดงให้เห็นว่า มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของเรามีแต่จะเพิ่มพูนขึ้น เพราะสินทรัพย์การลงทุนของเราสามารถให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
อัตรส่วนทางการเงินส่วนบุคคลทั้ง 6 ประการ จะเป็น “ตัวชี้วัด” ที่ดีว่า สุขภาพทางการเงินของคุณเข้มแข็งและมั่นคงมากน้อยแค่ไหน หากคุณมีอย่างหนึ่งอย่างใดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ผมแนะนำไว้ ก็แสดงว่า คุณอาจจะเริ่มมีสุขภาพทางการเงินในบางเรื่องไม่สู้ดี และ ต้องเร่งแก้ไขชในจุดนั้นทันทีครับ
วิธีตรวสอบที่ผมนำมาแนะนำไว้ ต้องถือว่าเป็นการตรวจเช็คสุขภาพทางการเงินของคุณด้วยตัวเอง หากคุณสามารถสอบผ่านทุกข้อก็แสดงว่า สุขภาพทางการเงินของคุณอยู่ในเกณฑ์เยี่ยมมากครับ และผมก็หวังให้เป็นเช่นนั้นทุกคนนะครับ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ตลท.ส่องตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟองสบู่ แม้่รายย่อยแห่เก็งกำไรหุ้นเล็กเพียบ

ตลท.ส่องตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟองสบู่ แม้่รายย่อยแห่เก็งกำไรหุ้นเล็กเพียบ

ตลท.มองตลาดหุ้นไทย ยังไม่อยู่ในภาวะฟองสบู่ แม้ขณะนี้นักลงทุนรายย่อยเล่นเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กกันมาก ทำให้สัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปริมาณซื้อขายจะเป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงฟองสบู่ในตลาดหุ้น ซึ่งปัจจุบันปัจจัยเสี่ยงยังไม่อยู่ในระดับสูงที่น่ากลัว

วันนี้ (8 ก.ย.) นายยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุถึงภาวะซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ว่า ยังไม่อยู่ในภาวะฟองสบู่ แม้ว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนรายย่อย ที่เข้ามาในตลาด มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีการเล่นเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กกันมาก

“ปริมาณการซื้อขาย ถือเป็นเครื่องชี้วัดตัวหนึ่ง ที่จะแสดงถึงฟองสบู่ตลาดหุ้น ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะปัจจุบันพี/อี เรโช ของเรา ยังไม่อยู่ในระดับสูงจนน่ากลัว” นายยรรยง กล่าว

นายยรรยง กล่าวอีกว่า ราคาหุ้นไทย ยังต่ำเมื่อเทียบกับในช่วงย้อนหลัง รวมถึงต่ำกว่าภูมิภาค และยัง support กับ earning ตามความเป็นจริงอยู่ จึงยังไม่น่ากังวล โดยขณะนี้สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นมาก และต่อเนื่อง โดยล่าสุด เมื่อเดือน ส.ค.อยู่ที่ 68.2% เทียบจาก 66.7% ใน ก.ค., 63.7% ใน มิ.ย., 56% ใน พ.ค.และ 53.6% ใน เม.ย. ตามลำดับ

ขณะที่ พบว่า มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์หุ้นขนาดเล็กที่ไม่อยู่ในกลุ่ม SET50 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยในเดือน ส.ค.อยู่ที่ 43.73%, เทียบจาก 35.69% ใน ก.ค., 36% ใน มิ.ย.และ 22% ใน พ.ค.ตามลำดับ

นายยรรยง กล่าวอีกว่า นักลงทุนรายย่อยเข้ามาเล่นเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กกันมาก โดยเฉพาะการเก็งกำไรตามข่าวที่มีเข้ามา ซึ่ง ตลท.และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พยายามชี้แจงทำความเข้าใจกับนักลงทุน ให้ศึกษาข้อมูล และทำความรู้จัก กับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ให้มากขึ้น

นายยรรยง กล่าวต่อว่า จากแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น มองว่า หน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบ ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงค่าเงินในขณะนี้ เนื่องจากกระแสเงินไหลเข้าเป็นไปตามภาวะของตลาดโดยรวมทั่วโลก ดังนั้น รัฐบาลจึงน่าจะใช้วิธีการบริหารจัดการค่าเงินบาทให้เหมาะสม ด้วยการใช้ประโยชน์จากกระแสเงินที่ไหลเข้า โดยเฉพาะนำมาใช้ในด้านการลงทุน เช่น โครงการเมกะโปรเจกต์ และรถไฟฟ้า ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์กว่า และควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ หากไทยไม่ลงทุนเพิ่มเติมในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าก็อาจจะทำให้ความน่าสนใจของไทยลดลง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งอาจทำให้เงินทุนหนีออกไปในที่ที่น่าสนใจกว่า

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์ 8 กันยายน 2553 15:14 น.

ตลท.แนะฉวยจังหวะหุ้นบวก-ต้นทุนต่ำ

ตลท.แนะฉวยจังหวะหุ้นบวก-ต้นทุนต่ำ บจ.เร่งเพิ่มทุนขยายธุรกิจ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะบจ.ฉวยช่วงจังหวะบวกเพิ่มทุนขยายธุรกิจ เหตุเศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้น-ต้นทุนต่ำ หลังดัชนีพุ่งดันมาร์เกตแคปทะลุ 7.4 ล้านล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ “ยรรยง” ยันชัด ยังไม่เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทย เหตุพีอีหุ้นไทยยังต่ำ

นายยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ถือเป็นช่วงที่ดีที่บริษัทจะระดมทุนเพิ่ม เพื่อนำไปขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ จากที่ต้นทุนการะดมทุนไม่สูง ประกอบกับช่วงที่เงินบาทแข็งค่าจะได้ประโยชน์ในการซื้อสินค้าทุน เครื่องจักร ผลิตสินค้าที่มากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้น รวมถึงใช้ประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจมีการเติบโตที่ดี เช่น รีไฟแนนซ์ เพื่อใช้การลงทุนโครงการต่างทั้งภาครัฐและเอกชน

สำหรับแนวโน้มการระดมทุนในเดือนกันยายนนี้ น่าจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นดี ทำให้บริษัทมีการเพิ่มทุนที่สูงขึ้น หากวัฎจักรการลงทุนขาขึ้น ส่วน การระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ต้องใช้ระยะเวลาในการเสนอขายหุ้นจาก ที่จะต้องมีการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)

“ขณะนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังไม่น่ากังวล เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแรงสามารถรับมือกับค่าเงินบาทได้ ไม่เหมือนกับปี 2549 ที่เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบาง มีการประท้วง ปฏิวัติ ทำให้การส่งออกได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทมีแข็งค่า แต่อายมีบางกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบก็จะต้องมีการความเหลือเป็นจุดๆ ไป”

นายยรรยง กล่าวว่า จากการที่ดัชนีและมูลค่าการซื้อขายตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลา ด (มาร์เกตแคป) ทะลุ 7.4 ล้านล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ยังไม่ถึงระดับอันตรายที่ตลาดหุ้นจะเกิดภาวะฟองสบู่ เพราะค่าP/E หุ้นไทยยังไม่สูงจนน่าเป็นห่วง ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 13.17 เท่า ถือเป็นระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10ปีที่ผ่าน อยู่ที่ระดับ 15.68 เท่า ขณะที่ในช่วงวิกฤต P/E จะอยู่ที่ 20 เท่า รวมทั้งภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นไม่ได้ดูจากมูลค่าการซื้อขายเพียงอย่างเดียว

สำหรับภาวะการลงทุนในเดือนส.ค. 53 นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปิดที่ระดับ 913.19 จุด เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนก่อน 6.70% และเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 24.32% ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในภูมิภาค เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกอยู่ในระดับสูง ประกอบกับเครื่องชี้เศรษฐกิจล่าสุดที่สะท้อนการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้มีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้น ณ สิ้น ส.ค. 53 ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี 8 เดือนนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2539 ส่งผลให้มาร์เกตแคปของ SET และ mai อยู่ที่ 7,429,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนก่อน 6.70%

ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันในเดือนสิงหาคม 2553 อยู่ที่ 36,747.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.84% จากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 74.57% จากเดือนสิงหาคม 2552 โดยเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547 นักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 (ตั้งแต่มิ.ย. - ส.ค.) ส่งผลให้มูลค่าซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศในช่วง 8 เดือนแรกรวม 5,375.45 ล้านบาท และรวมจนถึงปัจจุบัน (8 ก.ย.) สูงถึง 13,130.54 ล้านบาท

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 8 กันยายน 2553 22:41 น.

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

หุ้นไทยแรงฉุดไม่อยู่ ทะลุ 942.73 จุด

หุ้นไทยแรงฉุดไม่อยู่ ทะลุ 942.73 จุด ได้แรงซื้อกลุ่มพลังงาน หลังมาบตาพุดคลี่คลาย

หลังมาบตาพุดคลี่คลาย หุ้นไทยแรงฉุดไม่อยู่ ทะลุ 942.73 จุด โดยบวกถึง 12.83 จุด หรือเพิ่มขึ้น 1.38 % ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงถึง 32,040.12 ล้านบาท ซึ่งหุ้นกลุ่มพลังงานมาแรง นักลงทุนแห่ซื้อเป็นจำนวนมาก สำหรับภาคบ่ายตลาดหุ้นน่าจะยังคงอยู่ในแดนบวกต่อ หุ้นพลังงานและแบงก์นำตลาด โดยเฉพาะ PTT ยังลงทุนได้ ด้านแนวรับอยู่ที่ 930 จุด แนวต้าน 945 จุด

วันนี้ (6 ก.ย.) ตลาดหลักทรัพย์ไทย ปิดภาคเช้าที่ระดับ 942.73 จุด เพิ่มขึ้น 12.83 จุด หรือ +1.38 %) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 32,040.12 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์มองวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวในแดนบวกค่อนข้างมาก ซึ่งในช่วงเช้าเปิดตลาดเกิน 10 จุดหลังจากนั้นมีการปรับฐานลงมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถยืนในแดนบวกตลอดช่วงเช้า หลังได้รับแรงซื้อหนาแน่นในกลุ่ม PTT หนุนตลาด และท้ายตลาดในกลุ่มแบงก์ หลังนักลงทุนมองมาบตาพุดจบเร็ว ด้านตลาดต่างประเทศบวกเสริมตลาดหุ้นไทย พร้อมให้แนวรับ 930 จุด แนวต้าน 945 จุด โดยแนะเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน แบงก์

สำหรับการซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 944.54 จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 931.98 จุด

ด้าน นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายหลักทรัพย์และฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ บล.เอเชียพลัส จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงเช้าปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งถือว่ามีปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างมากเนื่องจากนักลงทุนมองภาพบวก จากโครงการมาบตาพุดที่ดีขึ้นและเร็ว แม้บางช่วงจะมีการขายทำกำไรออกมาบ้างแต่ก็ยังยืนแดนบวกทั้งกลุ่ม PTT โดยเฉพาะ PTT PTTEP ที่มีแรงซื้อค่อนข้างมาก

ขณะที่ ยังมีแรงซื้อในกลุ่มแบงก์เข้ามาในช่วงท้ายตลาด จากแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อจากโครงการมาบตาพุด ส่งผลให้สินเชื่อขยายตัวมากขึ้น จึงเป็นปัจจัยหนุนตลาดในช่วงเช้าแดนบวก

นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยหนุนจากต่างประเทศ ที่อยู่ในแดนบวกเกือบทุกตลาดทั้งสหรัฐ และในแถบเอเชีย ซึ่งหนุนให้ตลาดหุ้นไทยเราคล้อยตาม ขณะที่ปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองมีการประนีประนอมที่ดีขึ้น ที่พรรคเพื่อไทยยอมสมานฉันท์ และปัญหาพรมแดนกัมพูชา ซึ่งลดความตึงเครียดได้ หนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนต่อเนื่อง แต่อาจไม่มากเหมือนช่วงที่ผ่านมาที่ซื้อค่อนข้างมากแล้ว

ส่วนตลาดหุ้นในช่วงบ่าย มองว่าตลาดหุ้นยังอยู่ในแดนบวกต่อ โดยกลุ่มที่ยังนำตลาดได้แก่ พลังงาน แบงก์ โดยเฉพาะ PTT ยังลงทุนได้ แต่ให้ติดตาม NGO ใน 2 สัปดาห์ หากศาลอุทรณ์ก็จะเป็นแรงกดดันตลาด พร้อมให้แนวรับ 930 จุดแนวต้าน 945 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 4,751.47 ล้านบาท ปิดที่ 305.00 บาท เพิ่มขึ้น 14.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,781.98 ล้านบาท ปิดที่ 638.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,685.47 ล้านบาท ปิดที่ 149.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,491.44 ล้านบาท ปิดที่ 25.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท และ TOP มูลค่าการซื้อขาย 1,347.87 ล้านบาท ปิดที่ 48.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สยองขวัญ18กิจการอันตราย

หุ้นไทยเข่าอ่อน ยืน900ไม่อยู่จ่อลงอีก-สยองขวัญ18กิจการอันตราย

หุ้นไทยได้ตื่นเต้น!แค่ชั่ววูบ ดัชนีทะลุเหนือ 900 จุดได้ แต่ยืนนานไม่ไหว รูดลงเหลือปิดเพิ่มแค่ 0.86 จุด จากแรงเทขายทำกำไร และกรณีมาบตาพุดที่จะมีการประกาศรายชื่อ 18 อุตสาหกรรมอันตรายใน 1-2 วันนี้ ฉุดนักลงทุนเทขายกลุ่มปตท กดดันตลาด ฟากต่างชาติซื้อสุทธิแค่ 204 ล้าน โบรกฯประเมินวันนี้ เริ่มเข้าสู่ช่วงปรับฐาน แนะนักลงทุนติดตามค่าบาทใกล้ชิด อ่อนค่าเมื่อใด หมายถึงสัญญาณฝรั่งชะลอตัว

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (23ส.ค.) ดัชนีหลักทรัพย์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 0.86 จุด หรือ 0.10% โดยปิดที่ ปิดที่ระดับ 894.78 จุด มูลค่าการซื้อขาย 35,161.02 ล้านบาท ทั้งที่ดัชนีสามารถขึ้นไปแตะที่ระดับ 900.78 จุดได้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถยืนเหนือระดับ 900 จุดได้ไม่นาน ก็ร่วงลงมาปิดตลาดในช่วงเช้าที่ 899.99 จุด ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาตามห้องค้าต่างๆได้

ขณะที่เมื่อเปิดตลาดซื้อขายในช่วงบ่าย ดัชนีก็ปรับตัวผันผวน ก่อนลดลงมา โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ ระดับ 900.78 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 891.58 จุด หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 186 หลักทรัพย์ ลดลง 192 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 126 หลักทรัพย์

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,742.71 ล้านบาท ปิดที่ 264.00 บาท ลดลง 2.00 บาท JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,511.36 ล้านบาท ปิดที่ 1.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.09 บาท SCC มูลค่าการซื้อขาย 1,464.32 ล้านบาท ปิดที่ 272.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท SAMART มูลค่าการซื้อขาย 1,415.55 ล้านบาท ปิดที่ 9.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท และ TMB มูลค่าการซื้อขาย 1,257.22 ล้านบาท ปิดที่ 2.22 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท

ส่วนการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุนพบว่า สถาบันซื้อสุทธิ 103.08 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศที่ซื้อสุทธิ 204.26 ล้านบาท ด้านบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และนักลงทุนทั่วไป ขายสุทธิ 244.81 ล้านบาท และ 62.54 ล้านบาท ตามลำดับ

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้มีแรงขายทำกำไรออกมาในระหว่างเทรด ภายหลังจากที่ดัชนีฯไม่สามารถผ่านแนวขึ้นไปยืนเหนือ 900 จุดได้ และ โดยเฉพาะประเด็นการประกาศรายชื่อ 18 อุตสาหกรรมที่มีผลกระทบร้ายแรงที่ยังต้องใช้เวลาอีก 1-2 วัน ทำให้นักลงทุนเกรงว่าอาจเป็นข่าวลบ จึงขายหุ้นในกลุ่ม บมจ.ปตท.(PTT)ออกมาก่อน อย่างไรก็ดี ช่วงเช้าวานนี้ ตลาดหุ้นยังได้ปัจจัยบวกจาก Fund Flow ที่ยังไหลเข้า และตัวเลข GDP ของไทยงวดไตรมาส 2/53 ที่ออกมาขยายตัว 9.1% ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่จะแกว่งอยู่ในแดนบวก โดยนักลงทุนยังมอนิเตอร์สัญญาณทางเศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่อยู่

โดยแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(24 ส.ค.) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัว พร้อมให้แนวรับ 888 จุด แนวต้าน 900 จุด

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของดัชนีภาคเช้าสามารถอยู่ในแดนบวกจนสามารถไปแตะระดับเหนือ 900 จุด ได้ช่วงสั้น และทำให้ช่วงเช้าดัชนีสามารถปิดบวกได้ถึง 6 จุด เนื่องจากยังได้แรงหนุนจากเม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าภูมิภาคเอเชียต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนยังมีความกังวลต่อภาวะการพื้นตัวเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐ ทำให้นำเงินลงทุนมาพักฐานที่เอเชียก่อน

ส่วนที่ภาคบ่ายดัชนีทยอยปรับลง เป็นเพราะแรงขายทำกำไรข่าวข่าวที่นายกรัฐมนตรีขอเลื่อนแถลงความชัดเจนของ 18 ประเภทโครงการที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงในมาบตาพุด 1-2 วัน หลังคณะกรรมการได้ชี้แจงร่างกฎหมายที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้เห็นชอบตัด 4 กิจการออกจาก 18 กิจการประเภทรุนแรง

ดังนั้นในระยะสั้นดัชนีจะเข้าสู่การปรับฐาน หลังดัชนีได้เพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง สังเกตได้จากดัชนีเปิดบวกแต่ช่วงบ่ายเกิดแรงขายทำกำไรมาตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ให้นักลงทุนติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเป็นหลัก เพราะหากค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าเมื่อไรก็อาจเป็นสัญญาณของการปรับฐาน ซึ่งหมายถึงเม็ดเงินต่างชาติจะเริ่มชะลอลง โดยประเมินดัชนีเคลื่อนไหววันนี้ที่กรอบ แนวต้าน 900-903 จุด และแนวรับที่ 885 จุด

ขณะเดียวกัน สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินในประเทศและต่างประเทศของบริษัท 5 แห่งในกลุ่มบมจ. ปตท (PTT) และทบทวนแนวโน้มเครดิต 2 ใน 5 บริษัทดังกล่าวเป็นมีเสถียรภาพ จากเดิมเชิงลบ

ทั้งนี้ S&P ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของ IRPC และ PTTAR ที่ BBB- และปรับเพิ่มแนวโน้มเครดิตเป็นมีเสถียรภาพ พร้อมคงอันดับเครดิตและแนวโน้มเครดิตของ PTT ที่ BBB+ แนวโน้มเชิงลบ, PTTCH ที่ BBB แนวโน้มเชิงลบ และ Thaioil ที่ BBB แนวโน้มเชิงลบ

กูรูแนะหุ้นตลาดเกิดใหม่น่าลงทุน

กูรูแนะหุ้นตลาดเกิดใหม่น่าลงทุน

โบรกเกอร์กองทุนรวมแนะนักลงทุเลือกหุ้นตลาดเกิดใหม่แทนหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว หลังเศรษฐกิจของกลุ่ม Emerging Marke มีอัตราการเติบโตมากกว่าแม้จะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ประเมินดัชนี A-Share มาแรงแนะนำกองทุน China Equity Index น่าลงทุน

นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมาท่ามกลางภาพเศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอตัวลงทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐ และจีนทำให้ตลาดหุ้น และราคาน้ำมันต่างปรับตัวลงแรง เรายังคงเชื่อว่าตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งเรายังคงแนะนำให้หลีกเลี่ยงตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และกองทุนน้ำมัน

อย่างไรก็ตามเรายังคงมุมมองเชิงบวกกับกลุ่ม Emerging Market โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนเซี่ยงไฮ้ A-Share ที่แม้ว่าจะเห็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากมาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจก่อนหน้านี้แต่เรายังคาดว่าจะยังคงเห็นการเติบโตของจีน และชะลอกการออกมาตรการใหม่ๆ รวมถึงดัชนี A-Share ได้ปรับลดลงมาอย่างมากตั้งแต่ต้นปีมองว่าระดับราคานี้ได้รับข่าวการมาตรการและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากมาตรการที่ออกมาแล้ว เราจึงยังคงแนะนำเก็งกำไรโดยเรามองแนวต้านแรกที่ 2,800 หากผ่านได้ คาดว่าจะเห็นขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 3,000 จุดต่อไป

สำหรับกองทุนแนะนำเป็นกองทุนเปิดทหารไทย China Equity Index ของบลจ. ทหารไทย ซึ่งลงทุนในกองทุนหลักที่มีนโยบายในการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี FTSE/Xinhua China A50 Indexที่ประกอบไปด้วยหุ้น A-Share ที่มีสภาพคล่องสูง 50 ตัว โดยลงทุนผ่านตราสารอนุพันธ์ที่ชื่อว่า China A-share Access Products (CAAPs) ซึ่งกองทุนหลักไม่ได้ลงทุนในหุ้น A-Share โดยตรง และออกโดยสถาบันการเงิน (CAAP Issuers) ที่เชื่อถือได้ เช่น UBS, Citigroup, Credit Suisseและ HSBC เป็นต้น

นอกจากนี้สินทรัพย์ปลอดภัยทั้งทองคำ และเงินดอลล่าร์สหรัฐกลับมาได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอีกครั้งดังจะเห็นได้จากกองทุน SPDR ที่เริ่มเห็นการถือครองทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาทองคำกลับขึ้นไปยืนเหนือแนวต้านที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ทำให้สัญญาณทางเทคนิคระยะสั้นกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง โดยเราคาดว่าจะเห็นราคาทองคำกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ราคาสูงสุดเดิมที่เคยทำไว้แถวๆ 1,260ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ เพราะฉะนั้นเราจึงยังคงคำแนะนำสะสมทองคำต่อไป และกองทุนที่แนะนำยังคงเป็น K-GOLD ของ บลจ. กสิกรไทย ที่มีค่าใช้จ่ายถูกที่สุดและมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินซึ่งค่าเงินบาทกำลังแข็งค่าขึ้นอีกครั้งเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐทำให้ไม่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

ทั้งนี้สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงแรงหลังธนาคารกลางสหรัฐ (FED)ประเมินภาวะเศรษฐกิจสหรัฐย่ำแย่กว่าที่คาดไว้ และมาตรการการเพิ่มสภาพคล่องโดยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลยังไม่ได้ทำให้ตลาดมีความมั่นใจต่อภาพเศรษฐกิจสหรัฐขณะที่ตลาดแรงงานเองยังคงเป็นปัญหาสำคัญโดยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นอีก 2,000 ราย เป็น 484,000 ราย หลังจากสัปดาห์ที่แล้วรายงานตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 22,000 ราย ทำให้แนวโน้มอัตราการว่างงานยังคงคาดว่าจะอยู่ในระดับที่สูงที่ 9.5% แต่หากรวมกับแรงงานที่เลิกหางานทำไปแล้วคาดว่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่านี้ อีก ความกังวลที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ DJIA ปรับตัวลดลง พร้อมทั้งคาดการณ์ในเชิงลบต่อผลประกอบการในอนาคตของบางบริษัทในสหรัฐ และแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อไป และเช่นเดียวกันความกังวลต่อภาพเศรษฐกิจโลกกดดันตลาดหุ้นยุโรป


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

กองหุ้นรับอานิสงส์ดัชนีทะยาน บลจ.โชว์ผลตอบแทนบวกถ้วนหน้า

กองหุ้นรับอานิสงส์ดัชนีทะยาน บลจ.โชว์ผลตอบแทนบวกถ้วนหน้า

กองทุนหุ้นตีปีก รับอานิสงส์ดัชนีหุ้นทะยาย "แอสเซทพลัส" โชว์ผลงาน ปิดกองทุนก่อนกำหนด หลังผลตอบแทนเข้าเป้า 10% เพียง 4 เดือน ด้าน "วรรณ" อวดผลตอบแทน 2 กองหุ้น ขึ้นแท่นผู้นำ 2 อันดับแรก

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 3.5% มาซื้อขายที่ระดับประมาณ 890 จุด จากเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียที่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยุโรป ประกอบกับการคาดการณ์แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งการปรับตัวของดัชนีตลาด

หลักทรัพย์ช่วงนี้ได้ส่งผลดีให้กับกองทุนหุ้นกลุ่ม SMART ของบริษัท

โดยเฉพาะ กองทุนแอสเซทพลัสสมาร์ท 4 (ASP-SMART4) ที่สามารถปิดกองทุนในวันที่ 19 ส.ค. 53 จากการสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย 10% ของเงินลงทุนเริ่มแรก คือ มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ผ่านจุด 11.00 บาท

ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมานอกจากนี้ กองทุนกลุ่ม SMART อีก 4 กองทุนที่เหลือ ได้แก่ ASP-SMART, ASP-SMART 2, ASP-SMART 3 และ ASP-SMART5 ยังสามารถจ่ายคืนผลตอบแทนได้อีก กองทุนละ 0.50 บาท ต่อหน่วย อีกด้วย

ทั้งนี้ แนวโน้มการปรับตัวของ SET Index ที่ปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปีในอัตราที่สูงกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค คาดว่าตลาดอาจมีการปรับฐานจากการขายทำกำไรในช่วงสั้นๆ บ้าง ในขณะที่มุมมองระยะยาวของตลาดหุ้นยังอยู่ในเชิงบวก บริษัทฯ จึงเปิดเสนอขาย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ท 6 (ASP-SMART 6) โดยจะเสนอขายครั้งเดียวถึงวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เพื่อรอจังหวะทยอยเข้าลงทุนเมื่อระดับราคาของหุ้นเป้าหมายปรับตัวลงถึงระดับที่น่าสนใจ

โดยกองทุน ASP-SMART 6 เป็นกองทุนผสมที่มีอายุโครงการ 1 ปี มีเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนสุทธิที่ระดับ 10% และปิดกองทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนผ่านระดับ 11.00 บาท หรือเมื่อครบอายุกองทุน 1 ปี แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดก่อน โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ และหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนจะมีการใช้ SET50 FUTURES ที่สะท้อนการปรับตัวของหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มผันผวนสูงได้

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงนี้ ได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ดีเกินคาด ประกอบกับสภาพคล่องในระบบยังมีอยู่สูงมาก ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดเอเชียรวมถึงตลาดไทย

นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากการที่กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ฯและธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/53 จะยังขยายตัวในระดับที่สูงมากกว่า 5% ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลดีต่อกองทุนเปิดวรรณพลัส (ONE+1)และกองทุนเปิดเอกทวีคูณ (ONE-G) ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2553 กองทุนทั้งสองให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 18.99% และ 18.97% เทียบกับดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ 12.61% และในระยะเวลา 6 เดือน ทั้งสองกองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 36.60% เทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (Benchmark) ที่ 28.40% ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นอันดับ 1 และ 2 ของบรรดากองทุนตราสารหุ้นภายในประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนกองทุนเปิดวรรณพลัส และกองทุนเปิดเอกทวีคูณ ในช่วงที่ผ่านมานั้น ทางทีมผู้จัดการกองทุน มีการบริหารจัดการแบบ Active Management ซึ่งประเมิน Risk-Return ของหุ้นเป็นรายตัวอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ เพื่อใช้ในการคัดเลือกหุ้นเข้าและออกจากพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนมีการทำ company visit หุ้นใน Radar Screen อย่างใกล้ชิด เพื่อคอยหา Investment Idea ใหม่หรือหุ้นที่มีอนาคตที่ดีโดยที่ตลาดยังไม่รับรู้

นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนมีการ กระจายความเสี่ยงการลงทุนอย่างเหมาะสมในหุ้นแต่ละอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีฯ ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนค่อนข้างมาก และ การที่ผู้จัดการกองทุนมีความพยายามในการทำการบ้านเพื่อหาหุ้นที่ดี และจับจังหวะการลงทุนที่ถูกต้อง คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต และปรับหุ้นบางตัวออกจากพอร์ตในเวลาที่รวดเร็วและเหมาะสม จะเป็นแรงสำคัญที่ทำให้กองทุนกองทุนทั้งสองสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้อย่างดีอีกด้วย



ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

อนาคตทองคำราคาปรับขึ้นอีกสิ้นปี!?


อนาคตทองคำราคาปรับขึ้นอีกสิ้นปี!?

จากเศรษฐกิจในยุโรปที่ยังคงกดดันความเชื่อมั่นอยู่ในขณะนี้ นักวิเคราะห์หลายฝ่ายยังคงมองว่า ความต้องการซื้อทองคำมีมากขึ้น เพื่อป้องกันการลดค่าของสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่น ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผลตอบแทนของการลงทุนทองคำและกองทุนทองคำอยู่ที่ 9% และมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อในครึ่งปีหลัง จึงสามารถลงทุนติดไว้ในพอร์ตประมาณ 5 -10%

วรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. บัวหลวง จำกัด บอกว่า ราคาทองคำในระยะสั้น ยังมีแนวโน้มอ่อนตัวได้อีกเนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่

1. Investment demand ลดลงไป เนื่องจากความกังวลต่อเสถียรภาพค่าเงินยูโรลดลง รวมถึงเงินเฟ้อยังไม่ใช่ประเด็นในปีนี้เนื่องจากทั้งยุโรปและสหรัฐยังมีเงินเฟ้อในระดับต่ำมาก ขณะที่นักลงทุนโยกเงินเข้าสู่ risky assets เช่นหุ้น มากขึ้น เพราะผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาดี และเศรษฐกิจยุโรปยังมีการฟื้นตัวแม้จะเป็นไปอย่างช้าๆ

2. Physical demand ลดลง (ความต้องการทองคำไปเป็นเครื่องประดับหรือไปผลิตเป็นส่วนประกอบสินค้าอื่นๆ) เพราะเป็นช่วง Low season ของทุกปี โดยเฉพาะความต้องการทองคำจากอินเดียซึ่งมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของ Physical demand ทั้งหมด

และ 3. การที่ราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือระดับ $1,200/oz. ซึ่งเป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญได้ ยิ่งทำให้เกิดแรงขายจากนักเก็งกำไรมากยิ่งขึ้น

นายกสมาคม บลจ. บอกต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ ไตรมาส 4 ปีนี้ ราคาทองคำน่าจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอีกครั้ง เนื่องจาก มีเทศกาลต้องการทองคำที่อินเดียจะเริ่มขึ้นในไตรมาส 4 จึงจะมีความต้องการทองคำ (Physical demand) เพิ่มตามมา รวมถึงการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐที่เปราะบางยังคงเป็นความเสี่ยงที่ช่วยให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาบ้าง แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้มากเหมือนกับในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และผลการสำรวจความต้องการลงทุนในทองคำล่าสุดของบริษัท Ipsos พบว่านักลงทุนในเอเชียมีแนว โน้มที่จะซื้อทองคำเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้ามากกว่านักลงทุนจากทางฝั่งยุโรปและอเมริกาเหนือ

โดยมีความต้องการที่จะถือทองคำเพื่อลงทุนและเพื่อเก็งกำไรในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ซึ่งความต้องการทองคำจากทวีปเอเชียจะมาจาก อินเดีย อินโดนีเซีย และ จีน เป็นหลัก เนื่องจากจะมีเทศกาลสำคัญๆ ที่จะเพิ่มความต้องการทองคำจำนวนมากในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังมีเพียง 10% ของกลุ่มสำรวจที่ได้ซื้อทองคำแล้วในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จึงยังมีโอกาสอีกมากที่พวกเขาจะลงทุนในทองคำ โดยเฉพาะเมื่อราคาทองคำในปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาสูงสุดในอดีตที่ได้ปรับอัตราเงินเฟ้อแล้วซึ่งจะอยู่ที่ระดับ $2,300/oz.

สำหรับในปีหน้า คาดว่าปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปน่าจะยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการที่ Ben Bernanke ได้ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังอยู่ในภาวะไม่แน่ไม่นอน แสดงว่าความเสี่ยงเหล่านี้ยังคงไม่ได้หายไปอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลต้องใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อ ดังนั้น ความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน (Investment demand) ในอนาคตก็ยังคงมีอยู่ จึงคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำว่าจะยังคงเป็นขาขึ้นต่อในระยะยาว อย่างไรก็ตามจึงอยากให้นักลงทุนมีการกระจายการลงทุนไปในทองคำบ้าง จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุนโดยรวมของพอร์ตการลงทุน

ด้าน วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี(ไทย) จำกัด ยังแนะนำนักลงทุนว่า นักลงทุนควรทยอยลงทุนในทองคำและควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุนของตัวเอง นอกจากจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแล้ว ยังสามารถใช้เป็นสินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ดี และสามารถใช้กระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในหุ้นได้ดีเพราะมีความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้นค่อนข้างต่ำ การลงทุนในทองคำจึงตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกันมองว่าระดับราคาทอง ณ ปัจจุบันยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อีก แม้ราคาในปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนนักลงทุนลังเลที่จะเข้าลงทุน แต่ทางบริษัทและนักวิเคราะห์หลายๆ แห่งมองว่าราคาทองคำยังไม่แพงเกินไปและมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยหลายๆ ปัจจัย เช่น ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศกลับมาถือทองคำมากขึ้น กระแสเงินลงทุนจากกองทุน Gold ETF ต่างๆ (ETF Inflows)ที่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง แต่ซัพพลายมีจำกัดและมีต้นทุนการผลิตสูง รวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯและประเทศพัฒนาแล้ว

"คาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยในปีนี้ว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,300 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ดอยช์แบงก์ คาดการณ์ว่าราคาทองเมื่อจบไตรมาสที่ 3 จะอยู่ที่ 1,275 เหรียญสหรัฐ และจบสิ้นปีอยู่ที่ 1,400 เหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1,245 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าราคาเฉลี่ยในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1,450 เหรียญสหรัฐ"

ขณะที่ กิดาการ สุวรรณธรรมา ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจอนุพันธ์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า การที่รัฐบาลประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรปอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงที่ผ่านมาประกอบกับเศรษฐกิจเอเชียที่ฟื้นตัวมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลให้ยังมีความต้องการทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) และยังคงความเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย (Safe Haven)

"เราคาดว่าในปีนี้ราคาทองคำน่าจะมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,250-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เทียบเท่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์สที่บริเวณ 18,700-19,500 บาท และเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส4 โดยเป็นการปรับขึ้นเทียบจากสิ้นปี 2552 ราว 18%นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากการเข้าสะสมทองคำหรือถือสถานะ Long โกลด์ฟิวเจอร์ส ในจังหวะอ่อนค่าหรือพักฐานที่มีโอกาสลงไปทดสอบบริเวณ 1,100-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เทียบเท่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์ส ที่บริเวณ 16,500-17,200 บาท"

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พบสัญญาณเงินนอกป่วนไทย ธปท.ผวาเฮจด์ฟันด์คืนชีพ-เตือนรับมือ

ธปท.เตือนผู้ส่งออก-นำเข้า เตรียมพร้อมรับมือตลาดเงินผันผวน แนะทำประกันความเสี่ยง พบสัญญาณเงินร้อนต่างชาติทะลักเข้าตลาดเอเชีย กังวลเฮจด์ฟันด์คืนชีพป่วนตลาดเงินโลก ชี้ ไทยเสี่ยงสูง เพราะมีส่วนต่างฟันกำไร 3 ต่อ ทั้งตลาดหุ้น ดอกเบี้ย และค่าเงินบาท

วานนี้ นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "แนวโน้มเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของค่าเงิน" จัดโดยกรมสำนักส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ โดยคาดว่า ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกช่วงครึ่งหลังปี 2553 จะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก และขณะนี้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจน จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เชื่อภาพรวมทั้งปีจะยังฟื้นต่อและขยายตัวต่อเนื่อง โดยไม่น่าจะมีการเกิดวิกฤติรอบ 2 อีกครั้ง (Double Dip) จากเหตุการชะลอตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจยุโรป อย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ในช่วงก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงความเสี่ยงของค่าเงินบาทจะมีมากขึ้น ด้วยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจยุโรปจากปัญหาหนี้สหรัฐ โดยเฉพาะผลของการตรวจสอบความมั่งคงของสถาบันการเงิน ในภาวะวิกฤต (Stress Testing) จำนวน 90 แห่งเพื่อประเมินความเพียงพอของกองทุน ในยุโรปนั้น หากผลออกมาไม่ดีจะกระทบต่อสถาบันการเงินในประเทศฝรั่งเศส และเยอรมันที่ลงทุนในตราสารหนี้สกุลยุโรปโดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหาหนี้สาธารณะค่อนข้างมากซึ่งจะกระทบค่าเงินยูโรให้อ่อนค่าต่อเนื่อง

ขณะที่การว่างงานในสหรัฐฯ ที่กลับมาติดลบอีกครั้ง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจในระยะต่อไป ส่วนประเทศในเอเชียได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกน้อยทำให้หลายประเทศกำลังทยอยปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการเงิน และการคลัง โดยหลายประเทศรวมทั้งไทยได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อดูแลเงินเฟ้อมากขึ้น

"มองว่าในเอเชียแทบทุกประเทศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายกันหมดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้สูงและสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สำหรับธปท.ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 0.25% แม้จะทำให้ค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ก็ช่วยลดแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อลงได้" อย่างไรก็ตามส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศในกลุ่มจี 3 ได้แก่ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น กับเอเชีย ส่งผลให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายจากตะวันตก มายังเอเชียรวมถึงประเทศไทยมากขึ้น เพื่อหาช่องทางในการทำกำไร"

ดังนั้น ผู้นำเข้า และผู้ส่งออก ควรติดตามการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนจากต่างประเทศ ที่เข้ามาในไทยจะมีปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะไหลเข้าออกเร็วมากขึ้น และคงเกิดขึ้นหลายรอบ จะมีผลโดยตรงต่อค่าเงินบาท ช่วงนี้ก็เริ่มเห็นการกลับเข้ามาลงทุนของกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) อีกครั้ง หลังจากที่ล้มตายไปจำนวนมากในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา แต่ต้องยอมรับว่า เป็นปกติของตลาดการเงินและตลาดการค้าโลก ที่เมื่อเห็นช่องทาง ก็ต้องมีการเก็งกำไร

จากการที่เงินทุนต่างประเทศยังมีแนวโน้มที่จะไหลเข้าไทยมากขึ้นย่อมส่งผลต่อค่าเงินบาทให้มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง โดยต่างชาติจะนำเงินมาลงทุนในประเทศไทย อาจเห็นโอกาสที่จะทำกำไรถึง 3 เด้ง คือ จากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้น และแนวโน้มค่าเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้น ดังนั้น นอกเหนือจากเงินทุนจะไหลเข้ามาลงทุนในระยะยาวแล้ว เงินที่จะเข้ามาเก็งกำไรก็มีมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อความสนใจในการตั้งเฮจด์ฟันด์กองใหม่ๆ และการกลับมาของกองทุนเก่าๆ เริ่มเห็นชัดขึ้น ที่ผ่านมาคู่ค้าของธปท.บางราย ยังบอกว่ากำลังตั้งเฮจด์ฟันด์ขึ้นมาเพื่อเข้าไปทำกำไรตลาดเงินในประเทศที่เศรษฐกิจยังดีอยู่

"หากไทยไม่ต้องการให้เฮดจ์ฟันด์เข้ามา หรือมีการเก็งกำไรในตลาดการเงินบ้านเรามากเกินไป ควรต้องดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจให้ดี และสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นมากที่สุด เพราะแนวโน้มที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามามากขึ้นในระยะต่อไปทั้งในตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้ จะทำให้เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น เพราะตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ราคาหุ้นต่อกำไร หรือค่าอี/พี ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค"

ทั้งนี้ ธปท.พบว่า ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553 ถึงวันที่ 16 กรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา มีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาแล้ว 3,553 ล้านบาท และตั้งแต่ต้นปี มีเงินไหลเข้ามาแล้ว 35,500 ล้านบาท ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีเม็ดเงินจำนวนไหลเข้ามาฟันส่วนต่างกำไร

สำหรับทิศทางค่าเงินบาทในช่วงนี้ยังมีเสถียรภาพ เชื่อว่ายังสามารถแข่งขันทางการค้าได้ โดยค่าเงินบาท สิ้นปี 2552 จนถึงปัจจุบัน แข็งค่าขึ้น 3.2% ขณะที่มาเลเซียแข็งค่าขึ้น 6.8% และสิงคโปร์ 2.3%และหากดูตัวเลขการขยายตัวของการส่งออกล่าสุดเดือนมิถุนายนที่ขยายตัวได้ถึง 46.3% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ส่งออกไทยสามารถปรับตัว และขยายการค้าได้อย่างดี

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต่อไปที่ค่าเงินบาทจะผันผวนมากขึ้น ผู้ส่งออกและนำเข้าควรทำประกันความเสี่ยงค่าเงินอย่างสม่ำเสมอ อย่าพยายามเก็งกำไรค่าเงินเพราะความเสี่ยงสูง ขณะเดียวกันการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของธปท.จะเข้าไปแทรกแซงค่าเงินเฉพาะช่วงที่มีความผันผวนสูงเท่านั้น ดังนั้น ผู้ส่งออกและนำเข้าจำเป็นต้องบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนให้เก่งขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงและความผันผวนมากขึ้นในระยะต่อไป


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สุดยอดตำราพิชัยยุทธ์ ในการเล่นหุ้น

สุดยอดตำราพิชัยยุทธ์ ในการเล่นหุ้น
ตำราพิชัยยุทธ์ เล่มที่ 1

บัญญัติ 10 ประการ....
สำหรับการเล่นหุ้น....ให้ท่านทั้งหลายที่เข้ามาในกระทู้นี้ได้นำไปพิจารณา....เชื่อมโยงกับกลยุทธของท่าน....เพื่อการตัดสินใจต่อการลงทุนต่อไปก็แล้วกันนะ....

1. เน้นการลงทุนให้เป็นไปตามแนวโน้มของตลาดรวม....อ่อนให้สงบ...แข็งให้สู้...ทรุดให้หนี...ดีให้เข้า

2. เล่นหุ้นให้มีกฏมีเกรณ....ต้องวิเคราะห์ได้....วิจัยเป็น...อ่านให้ขาดหุ้นตัวไหนเลว ตัวไหนดี.....สามารถประเมินมูลค่าราคาหุ้นได้

3. รู้จักการคาดการณ์ พฤติกรรมการเล่นหุ้นของมือใหญ่ ....หรือพวกที่เป็นผู้นำตลาด.....และพยายามมองอ่านเกมลึกไปถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของหุ้นเป้าหมาย...หรือหุ้นที่นำตลาด...เพื่อมองภาพการเคลื่อนไหวที่จะเชื่อมโยงไปถึงภาพรวมใหญ่ของตลาดได้

4. ควรจดจำไว้เสมอว่า....การเล่นหุ้นนั้นมีความเสี่ยง....ทุกย่างก้าวในการเล่นหุ้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังให้มากๆ....และควรคิดเสมอว่า....การเล่นหุ้นนั้นคือ...เกม..

5. เมื่อเวลาซื้อหุ้นให้ประเมินว่ามีโอกาสจะทำกำไรได้หรือไม่....ถ้าคลุมเคลือ ไม่ชัดเจน ไม่มีความมั่นใจ อย่าได้ซื้อหุ้นเด็ดขาด....เพราะการซื้อหุ้นนั้นท่านต้องมองเห็นอนาตคให้ได้....ในเวลาเดียวกันการขายหุ้นก็ต้องเน้นขายเพราะท่านต้องมีจุดประสงค์....กล่าวคือเพื่อเปลี่ยนตัวหุ้นที่ดีกว่า...เพราะเห็นว่าหุ้นของท่านเริ่มอืดอาดแล้ว...หรือมองแนวโน้มตลาดโดยรวมแย่

6. รู้จักการปรับพอร์ตให้เป็น.....อย่านิ่งเฉย...ปล่อยให้ความสูญเสียก้าวมาถึง จนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้....ท่านต้องเป็นผู้ที่เล่นหุ้นได้ทั้งขาขึ้น และ ขาลง ปรับพอร์ตคงเงินสด ลดใบหุ้น หรือเพื่อหุ้น ลดเงินสด ตามจังหวะและโอกาสในช่วงนั้นๆ

7. ไม่เป็นผู้ที่ขาดสติ...เป็นคนใจร้อน....ขาดเหตุผล...และหวังคิดชนะตลาดอยู่ร่ำไป....ซึ่งจะทำให้ท่านมีมุมมองที่ผิดเพี้ยน ....เช่นหุ้นยิ่งลงท่านยิ่งซื้อ
ที่สุดก็ติดหุ้นอย่างแน่นอน....และบางครั้งการขาดสติ อาจทำให้ท่านเล่นหุ้นผิดจังหวะ เสียรอบ ที่ควรได้กับไม่ได้ ที่ไม่ควรเสียกับเสีย

8. เล่นหุ้นต้องรู้จักพึ่งตนเองเป็นสำคัญ....อย่าหูเบา...เชื่อคนง่าย...เพราะเรื่องของหุ้นมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์...เป็นเรื่องของภาพลวงตา....ดังนั้นตัวของเราคือต้องเป็นที่พึ่งของเราเองอย่างแท้จริง

9. เสริมสร้างความรู้ในเรื่องหุ้นให้ต่อเนื่อง....รู้จักอ่าน...รู้จักฟัง...รู้จักพิจารณา.....ศึกษาให้ชัดเจน...ควรติดตามเรื่องราว...การเมือง...เศรษฐกิจ....สังคม...ทั้งภายในภายนอกประเทศ....ศึกษาความเป็นมาเป็นไปของตัวหุ้นให้ละเอียด

10. เมื่อประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นแล้ว....ให้รู้จักเก็บออม...รู้จักบริหารเงิน....รู้จักการลงทุนที่ถาวรทำธุรกิจส่วนตัว....และอย่าลืมบริจาคทำบุญทำทานกันบ้างก็แล้วกันนะ....เพราะเงินที่ได้จากตลาดหุ้นนั้น...ควรคิดเสมอว่าส่วนหนึ่ง...ท่านจะได้จากผู้ที่สูญเสียในตลาดนั้นแหล่ะครับ......

ตำราพิชัยยุทธ์ เล่มที่ 2
กลยุทธพิชิตหุ้น 10 อย่า 10 ควร 20 ต้อง..........

10อย่า
1. อย่าเล่นหุ้นด้วยอาการงงกับตลาดและงงตัวเอง
2. อย่าแห่ตามจนไร้สติ
3. อย่ามั่นใจกับภาวะตลาดจนเกินไป
4. อย่าตั้งเป้าทำกำไรไว้ตายตัว
5. อย่าเชื่อข่าวอินไซด์มากระวังจะถูกหลอก
6. อย่าเล่นหุ้นมากตัว
7. อย่าเล่นหุ้นเกินกำลังตัวเอง
8. อย่าหูเบาเชื่ออะไรง่าย
9. อย่าประมาทกับตลาดหุ้นเด็ดขาด
10. อย่าเป็นผู้ที่ติดหุ้นในราคาสูง

10 ควร
1. ควรคาดหวังแต่ต้นเริ่มซื้อหุ้นว่าซื้อแล้วต้องไม่ขาดทุน
2. ควรรู้เขารู้เราอ่านกันให้ออก โดยเฉพาะแนวโน้มตลาด
3. ควรเล่นหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับ หรือเป็นหุ้นติดตลาด
4. ควรติดตามค้นหาข้อมูล ทำการบ้าน
5. ควรเล่นหุ้นอย่างมีหลัก มีกติกา ไม่ใช้อารมณ์ตัดสิน
6. ควรเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรองรับสิ่งที่เลวร้ายซะก่อน
7. ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีปัญหา
8. ควรบอกตัวเองเสมอว่าราคาหุ้นนั้นคือภาพลวงตา
9. ควรแยกแยะให้ออกหุ้นไหนเก็งกำไร หุ้นไหน ลงทุน
10. ควรซื้อหุ้นเพราะมองเห็นอนาคต

20 ต้อง
1. ต้องติดตามกระแสปัจจัยเกี่ยวพันตลาดฯ
2. ต้องศึกษาตัวหุ้นก่อนเข้าซื้อ หรือขาย
3. ต้องอ่านแรงซื้อแรงขายหุ้นที่เล่นด้วยให้ออก
4. ต้องรู้จักตัดขายแต่ต้นทาง
5. ต้องรู้จักอดทนรอคอย ในแต่จังหวะ ในแต่ละรอบ
6. ต้องรู้จักประเมินความเสี่ยง
7. ต้องปรับพอร์ตลดเพิ่มให้เป็น
8. ต้องรู้จักทิศทางแนวโน้มขาขึ้นขาลงของตลาดให้ได้
9. ต้องอ่านทางนักลงทุนรายใหญ่ พวกสถาบันให้ออก
10. ต้องรู้จักลักษณะเฉพาะตัวของหุ้นที่จะเล่นให้ได้
11. ต้องเล่นให้เป็นทั้งสั้นและยาว
12. ต้องรู้จักเล่นเก็งกำไรผสมผสานกับการลงทุน
13. ต้องไม่แก้ปัญหาจนกลายเป็นแย่
14. ต้องระวังอย่าเล่นผิดจังหวะ
15. ต้องไม่วาดฝันสวยหรูจนเกินไปโดยความจริงยังไม่เกิด
16. ต้องรู้จักพึ่งตนเองเป็นสำคัญ
17. ต้องไม่ซื้อถั่วเฉลี่ยหุ้นขาลงโดยเด็ดขาด
18. ต้องซื้อถั่วเฉลียขึ้น หรือแนวโน้มในระยะต่อไปดูดี
19. ต้องไม่รักหุ้นเป็นเด็ดขาด
20. ต้องรู้จักเก็บกำไรบ้างเผื่อไว้ขาดทุนภายหน้า
ที่มา :
blogging ของคุณเย่หยงเทียน

6 ขั้นตอนการลงทุน คู่มือสำหรับผู้ลงทุนภายในประเทศ

6 ขั้นตอนการลงทุน คู่มือสำหรับผู้ลงทุนภายในประเทศ

ขั้นที่ 1 ทำความรู้จักกับสินค้า
ถ้าคุณเข้าใจว่าสินค้าแต่ละตัวคืออะไรแล้ว คุณก็จะสามารถ เลือกประเภทของสินค้าที่จะลงทุนตามความสนใจของคุณ ได้ง่ายขึ้น เรามีสินค้าหลากหลายให้คุณเลือกลงทุนได้ โดยหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนและมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ มี 7 ประเภทด้วยกันคือ :
หุ้นสามัญ (ordinary shares)
หุ้นบุริมสิทธิ (preferred shares)
หุ้นกู้ (debentures)
หุ้นกู้แปลงสภาพ (convertible debentures)
หน่วยลงทุน (unit trusts)
ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหลักทรัพย์ (warrants)
ตราสารอนุพันธ์ (derivative warrants)

ขั้นที่ 2 รู้จักตัวเอง และเลือกบริษัทนายหน้าที่เหมาะสำหรับคุณ
ถามคำถามต่อไปนี้กับตัวคุณเอง ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าพร้อมหรือยังที่จะลงทุนในหลักทรัพย์ :
จุดประสงค์ของการลงทุนในหลักทรัพย์ของคุณคืออะไร ?
คุณพร้อมจะรับการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นที่คุณซื้อไว้แล้วหรือไม่ ?
คุณมีงบประมาณในการลงทุนเท่าไร ?
คุณต้องการลงทุนแบบใด ซื้อหุ้นเอง (single share) หรือลงทุนในกองทุนรวม (investment fund) ?
คุณจะเสี่ยงได้แค่ไหน ?

เมื่อคุณรู้จักความต้องการของตัวเองมากขึ้นแล้ว คุณควรตั้งคำถามต่อไปนี้กับบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณสนใจ เพื่อช่วยในการเลือกบริษัทที่จะทำหน้าที่เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการ ของคุณมากที่สุด
คุณต้องใช้เงินเท่าไรสำหรับการเปิดบัญชี ?
บริษัทให้บริการอะไรแก่คุณบ้าง ?
บริษัทคิดค่าธรรมเนียมเท่าไร ?
บริษัทมีแผนกวิจัยของตัวเองหรือไม่ ?
คุณจะได้รับข้อมูลวิจัย และข้อมูลอื่นของบริษัทเป็นประจำหรือไม่ ?
บริษัทจะส่งข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของตลาดให้คุณอย่างไร และบ่อยแค่ไหน ?

ขั้นที่ 3 การสั่งซื้อขายหลักทรัพย์
ถ้าคุณคิดว่า ตลาดหลักทรัพย์เป็นศูนย์กลางของการซื้อขายหลักทรัพย์ ความเข้าใจของคุณถูกต้อง แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นให้กับตลาดหลักทรัพย์โดยตรง ความเข้าใจของคุณยังคลาดเคลื่อน เพราะว่าการซื้อขายหลักทรัพย์จะต้องทำผ่านบริษัทสมาชิก (โบรกเกอร์) หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่มิใช่สมาชิก (ซับโบรกเกอร์) เท่านั้น

คำตอบของบริษัทหลักทรัพย์ต่อคำถามต่างๆในขั้นตอนที่ 2 จะเป็นข้อมูลให้คุณเลือกบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณพอใจได้ หากคุณยังไม่ทราบดีถึงความแตกต่างระหว่างโบรกเกอร์และซับโบรกเกอร์ เราขอให้คำจำกัดความดังนี้ :

ในนิยามที่ใช้กันทั่วไปในธุรกิจหลักทรัพย์ไทย โบรกเกอร์คือบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย ส่วนซับโบรกเกอร์ ก็เป็นบริษัทหลักทรัพย์เช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ โดยโบรกเกอร์จะมีสิทธิส่งคำสั่งซื้อขายเข้าสู่ระบบซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์ได้โดยตรงในขณะที่ซับโบรกเกอร์จะไม่สามารถติดต่อโดยตรงกับระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ได้ แต่จะต้องส่งคำสั่งซื้อหรือขาย ของคุณไปที่โบรกเกอร์ เพื่อให้ทำการซื้อขายหลักทรัพย์ให้อีกทอดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม คุณสามารถเปิดบัญชีกับ บริษัทหลักทรัพย์ใดก็ได้ ถึงแม้ว่าบริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าวจะไม่ได้เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม
เมื่อคุณเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์แล้ว บริษัทจะต้องทำหน้าที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ อย่าลืมสอบถามข้อมูลการวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่คุณสนใจ รวมทั้งข้อมูลอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

ขั้นที่ 4 ทำความเข้าใจกับค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์
คุณจะต้องเสียค่าธรรมเนียมทุกครั้งที่คุณซื้อหรือขายหลักทรัพย์ โดยจ่ายค่าธรรมเนียมให้บริษัทนายหน้า หรือ โบรกเกอร์ ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่ซื้อหรือขาย (T+3 )นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก เช่น ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินปันผลและภาษีดอกเบี้ย เป็นต้น

ขั้นที่ 5 ศึกษาและติดตามข้อมูลก่อนและหลังการซื้อขายหลักทรัพย์
คุณควรจะศึกษาและติดตามข้อมูลทั้งก่อนและหลังการซื้อขาย โดยคุณสามารถใช้บริการข้อมูลต่าง ๆ ของ ตลาดหลักทรัพย์และของบริษัทนายหน้าของคุณซึ่งมีอยู่หลากหลายประเภท ทั้งที่ให้บริการฟรี และ ที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ขั้นที่ 6 รู้จักจังหวะเวลาในการตัดสินใจลงทุน
ก่อนตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ คุณควรขอคำปรึกษาจากแหล่งต่าง ๆ ก่อน เช่น จากโบรกเกอร์ของคุณ จากเพื่อน ๆ รวมทั้งหาข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์และแหล่งอื่น ๆ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น อย่าลืมว่า คุณจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองในที่สุด ! อย่าลืมว่า การลงทุนใด ๆ ย่อมมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น แต่การวางแผนที่รอบคอบ
ช่วยให้ความเสี่ยงลดน้อยลงได้

เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้ว คุณก็ได้ทำความเข้าใจครบ 6 ขั้นตอนสำหรับผู้ลงทุนหน้าใหม่แล้ว เราหวังว่าคู่มือนี้จะช่วยให้ คุณมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ดีขึ้น

http://www.set.or.th/th/education/invest/guide_p1.html

ดัชนีราคาหุ้นคืออะไร

ดัชนีราคาหุ้นคืออะไร

ดัชนีราคาหุ้น (เป็นชื่อเรียกเต็มที่เป็นทางการค่ะ แต่ต่อไปนี้จะขอเรียกสั้นๆว่า ดัชนี) เป็นตัวเลขที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จัดทำขึ้นเพื่อแสดงถึงความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสามัญ (หุ้นทุน) ที่ทำการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ดัชนีที่แสดงในแต่ละวันนั้นเป็นดัชนีเปรียบเทียบระหว่าง มูลค่าตลาดรวมในวันปัจจุบัน ของหุ้นสามัญทั้งหมด กับ มูลค่าตลาดรวมในวันฐาน ของหุ้นเหล่านั้น (วันฐานคือวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มเปิดให้มีการซื้อขาย โดยใชัตัวเลขของฐานคือ 100 จุด)

เมื่อทราบถึงความหมายแล้วก็จะทำให้เข้าใจวิธีการคำนวณได้ง่ายขึ้น ต่อไปก็จะขอแสดงให้ดูสูตรที่ใช้ในการคำนวณดังนี้

ดัชนีราคาหุ้น = (มูลค่าตลาดรวมในวันปัจจุบัน x 1००) /มูลค่าตลาดรวมวันฐาน

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีราคาหุ้นมีดังนี้
1. ตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้มูลค่าของหุ้นสามัญเท่านั้นที่นำเอามาคำนวณ แต่ไม่นำเอามูลค่าของหุ้นบุริมสิทธิ(Preferred Share) หรือใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) เข้ามาเป็นส่วนประกอบในการคำนวณ

2. เนื่องจากขนาดของบริษัทจดทะเบียนแต่ละบริษัทไม่เท่ากัน คือบางบริษัทจะมีจำนวนหุ้นมากกว่าบริษัทอื่นๆ ดังนั้นการคำนวณดัชนีราคาหุ้นในปัจจุบันจึงใช้วิธีถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด (Value Weighted) นั่นคือบริษัทที่มีขนาดใหญ่ (มีจำนวนหุ้นมาก) จะมีน้ำหนักในการคำนวณดัชนีมากกว่าบริษัทที่มีขนาดเล็กกว่า (มีจำนวนหุ้นน้อยกว่า)

3. มีการเปลี่ยนแปลงของหุ้นในตลาดอยู่เสมอ เช่น มีหลักทรัพย์เข้ามาจดทะเบียนใหม่ มีหุ้นที่เพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน บริษัทจดทะเบียนมีการเพิ่มทุนหรือลดทุน การรวมหรือควบกิจการ มีหลักทรัพย์ใดๆจะย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ใหม่เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น

ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อดัชนีหุ้น คือ ทำให้เกิดการผันผวนผิดปกติของค่าดัชนี และไม่สะท้อนภาพการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวมได้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในระดับราคาหุ้นที่เป็นองค์ประกอบของดัชนี

ดังนั้นจึงต้องมีการปรับฐานการคำนวณทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งสูตรการคำนวณมีความสลับซับซ้อน หากว่าคุณหรือผู้อ่านท่านใดสนใจใคร่รู้ในรายละเอียดจริงๆ สามารถดูสูตรการคำนวณของตลาดหลักทรัพย์ได้ใน website ของตลาดหลักทรัพย์ www.set.or.th

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีดัชนีอีกตัวหนึ่งเรียกชื่อว่า SET 50 Index ซึ่งเขาจะคำนวณและประกาศให้ประชาชนทราบทุกวันควบคู่กันไปกับตัวดัชนีราคาหุ้น(โดยรวม)ที่กล่าวมาข้างต้น สำหรับ SET 50 Index นี้จะแสดงถึงความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจำนวนเพียง 50 หุ้นที่ผ่านการคัดเลือกโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ

หลักเกณฑ์การเลือกหลักทรัพย์ เพื่อให้ได้หุ้นจำนวน 50 หุ้นที่มีคุณสมบัติเหมาะกับการนำมาคำนวณดัชนี SET 50 Index มีหลักเกณฑ์โดยย่อดังนี้

ก. เป็นหุ้นสามัญที่มีมูลค่าหุ้นตามราคาตลาดเฉลี่ยต่อวันสูงสุด 150 (ตัวเลข 150 นี้ถูกต้องแล้ว หากสงสัยว่าทำไมถึงต้องใช้ 150 หุ้น ก็กรุณาอ่านต่อไปนะคะ) อันดับแรกจากจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด (400 กว่าหุ้นค่ะ) โดยคำนวนจากมูลค่าหุ้นตามราคาตลาดเฉลี่ยรายวันที่ปรากฎบนกระดานหลักในแต่ละเดือน
และคำนวณเฉลี่ยย้อนหลัง 12 เดือน นับจากวันที่ทำการพิจารณาคัดเลือก

ข. เป็นหุ้นสามัญที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงอย่างสม่ำเสมอ คือ จะต้องเป็นหุ้นสามัญที่มีมูลค่าการซื้อขายรายเดือนบนกระดานหลัก สูงกว่า 50% ของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้น ของหุ้นสามัญทั้งตลาดในเดือนเดียวกัน เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 9 ใน 12 เดือน ในช่วงระยะเวลาที่ใช้พิจารณา

ค. เป็นหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 12 เดือน ก่อนวันที่ทำการพิจารณาคัดเลือก

หากว่ามีหุ้นสามัญที่ผ่านเกณฑ์ดังกล่าวมากกว่า 50 หลักทรัพย์ ก็จะนำหุ้นทั้งหมดมาจัดลำดับอีกครั้งตามมูลค่าหุ้นตามราคาตลาดเฉลี่ยรายวัน จากนั้นก็นำเอาหุ้นสามัญ 50 ลำดับแรกมาใช้คำนวณดัชนี SET 50 ส่วนหุ้นที่เหลือก็นำมาเป็นตัวสำรอง ถ้าเกิดหุ้นใน 50 ลำดับแรกมีอันเป็นต้องออกไปจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
ในทางตรงข้ามถ้าหากมีหุ้นสามัญที่ผ่านเกณฑ์น้อยกว่า 55 หุ้น เขาก็จะปรับเกณฑ์ในข้อ ข.โดยลดอัตราส่วนของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหุ้นลงทีละ 5%
ในแต่ละครั้ง

วิธีการคำนวณ SET 50 Index
ใช้วิธีเดียวกันกับการคำนวณดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทุกอย่าง เว้นแต่ว่าเขาใช้ราคาของหุ้นจำนวน 50 หุ้นที่ผ่านหลักเกณฑ์การเลือกของเขาเท่านั้น ตลาดฯได้เริ่มคำนวณค่าดัชนี SET 50 Index มาตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ।ศ. 2538 โดยกำหนดให้มีค่าเริ่มต้นที่ 100 จุด

การปรับรายการหลักทรัพย์
ตลาดฯกำหนดให้มีการพิจารณาปรับรายการหุ้นที่ใช้ในการคำนวณ SET 50 Index ทุกๆหกเดือน ในระหว่างวันที่ 1 – 31 ธันวาคม และ 1 - 30
มิถุนายน ของทุกปี โดยใชัหลักเกณฑ์การคัดเลือกเหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และต้องมีการปรับฐานการคำนวณเพื่อให้ค่าดัชนีมีความต่อเนื่องเช่นเดียวกับที่ใช้สำหรับการคำนวณ SET Index นั่นเอง

สรุปแล้วคือไม่ว่าจะเป็นดัชนีตัวไหนก็จะแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพตลาดโดยรวม ดังนั้นหากคุณเชื่อว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฯจะมีความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น ราคาหุ้นก็ควรจะมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้ดัชนีเพิ่มสูงขึ้นด้วย


ที่มา :
http://www.mfcfund.com/php/new/BeforeInvestment_faq01.php

ทำไมจึงต้องลงทุนในตลาดหุ้น?

ทำไมจึงต้องลงทุนในตลาดหุ้น?

สำหรับผู้ที่มีเงินออมและประสงค์จะบริหารเงินออมของตนให้เกิดประโยชน์นั้น นอกเหนือจากการฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินต่างๆ
เพื่อรับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ยังมีทางเลือกอื่นๆสำหรับการบริหารเงินออมและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกหลายวิธี

การลงทุนในตลาดหุ้นก็นับเป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้มีเงินออมมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่สูงกว่าและหลากหลายรูปแบบกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการฝากเงินในธนาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถาณการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดต่ำลงอย่างมากอย่างในปัจจุบัน จึงไม่เป็นสิ่งจูงใจในต่อการฝากเงิน

สำหรับผู้ที่มีเงินออมเหลืออยู่แล้วนั้น จะถือเงินไว้เฉยๆ โดยไม่บริหารการเงินการลงทุนอะไรเลยก็คงจะไม่เหมาะนัก ดังนั้นจึงควรพิจารณาหาช่องทางการลงทุนอื่นๆ เพื่อเพิ่มพูนผลตอบแทนจากเงินออมของตนจะดีกว่า

ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้น จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีเงินออม โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความหลากหลายในการลงทุน ทั้งประเภทของสินค้าที่จะลงทุน ผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะในตลาดหุ้น มีสินค้าหรือตราสารการลงทุนหลายประเภท ซึ่งออกโดย บริษัทที่ประกอบธุรกิจในหลายประเภทอุตสาหกรรม สำหรับให้เลือกลงทุนได้ตามความต้องการ ทั้งนี้ การเข้ามาลงทุน และถือหุ้นในกิจกิจการใดๆก็ตามในตลาดหลักทรัพย์ จะเกิดผลประโยชน์หลายประการ ทั้งต่อตนเอง และต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม เพราะเราจะได้มีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการต่างๆที่มีศักยภาพ หรือธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุนในรูปแบบต่างๆ เช่น ได้รับเงินปันผล สิทธิในการจองซื้อหุ้นออกใหม่ หรือ กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นต้น

นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นยังถือได้ว่ามีบทบาทในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงตามมาด้วยเสมอ ดังนั้นผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอย่างละเอียด
จะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และสามารถได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับที่น่าพึงพอใจตามที่คาดหวังได้
ที่มา : http://www.fpo.go.th/

หุ้น คืออะไร?

หุ้น คืออะไร?
หลังจากได้ทราบว่า ตลาดหุ้นคืออะไร มีวัตถุประสงค์และหน้าที่อย่างไรแล้วนั้น ต่อไปเราจะมาดูว่า ตลาดแห่งนี้มีสินค้าอะไรบ้าง ซึ่งสินค้าของตลาดหุ้นก็คือ หุ้นนั่นเอง ซึ่งสินค้าก็จะมีหลากหลายแบ่งแยกตามประเภทของสินค้า และตามความสนใจของนักลงทุน จริงๆแล้ว สินค้าเหล่านี้คงจะเคยผ่านสายตาใครหลายๆคนมาแล้ว ตามสื่อโทรทัศน์ซึ่งจะมีตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษต่างๆ วิ่งผ่านทางหน้าจอ
โดยอักษรเหล่านั้นจะเป็นตัวย่อของบริษัท ยกตัวอย่างเช่น MCOT ย่อมาจาก บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

ซึ่งสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ เราเรียกโดยรวมว่า "ตราสาร" หมายถึง เอกสารทางการเงินที่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ออกมาเพื่อระดมเงินทุนจากผู้ลงทุน และเปิดให้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีอยู่หลายประเภท ดังนี้

1) หุ้นสามัญ (Common Stock)
คือหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดซื้อขายกันอยู่ และมีจำนวนมากกว่า 80% ของหุ้นในตลาดทั้งหมด โดยหุ้นสามัญนี้เป็นตราสารประเภท หุ้นทุน ซึ่งออกโดยบริษัทมหาชนจำกัด ที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชนเพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในธุรกิจนั้นๆ โดยตรง เช่น การมีสิทธิในการลงคะแนนเสียง ร่วมตัดสินในปัญหาสำคัญในที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยผลตอบแทนที่คุณจะได้โดยตรงก็คือ เงินปันผลจากกำไรในธุรกิจ กำไรจากการขายหุ้นถ้าหุ้นปรับตัวขึ้น และสิทธิในการจองซื้อหุ้นใหม่ ในกรณีที่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียน

2) หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock)
เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน มีข้อแตกต่างจากหุ้นสามัญ คือผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับชำระคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการ หุ้นประเภทนี้มีไม่มากนักในตลาดหลักทรัพย์ มีการซื้อขายกันน้อย มีสภาพคล่องต่ำ บนกระดานหุ้นจะสังเกตุได้จาก -P เช่น SCB-P,TISCO -P เป็นต้น

3) หุ้นกู้ (Debenture)
เป็นตราสารที่บริษัทเอกชนออกเพื่อกู้เงินระยะยาวจากผู้ลงทุน โดยผู้ลงทุนจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของกิจการบริษัท และบริษัทจะต้องจ่ายผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือตามระยะเวลาและอัตราที่กำหนด โดยผู้ถือจะได้รับเงินต้นคืนครบถ้วน เมื่อสิ้นอายุตามระบุในเอกสาร ตลาดหุ้นกู้มักมีสภาพคล่องในการซื้อขายไม่มากนัก ส่วนใหญ่ซื้อขายโดย ผู้ลงทุนประเภทสถาบัน หรือผู้ลงทุนระยะยาว

4) หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Debenture)
หุ้นกู้แปลงสภาพ คล้ายคลึงกับ หุ้นกู้ แต่แตกต่างกันตรงที่ หุ้นกู้แปลงสภาพมีสิทธิที่จะแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ ในช่วงเวลาอัตราและราคาที่กำหนดในหนังสือชี้ชวนในช่วงที่เศรษฐกิจดี หุ้นประเภทนี้ได้รับความนิยมมาก เพราะผู้ซื้อคาดหวังผลตอบแทน ได้จากราคาหุ้นเมื่อแปลงสภาพแล้ว ซึ่งจะทำให้ได้กำไรมากกว่า ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยของหุ้นกู้ธรรมดา

5) ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant)
เป็นตราสารที่ระบุว่าผู้ถือครองจะได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นกู้ หรือตราสารอนุพันธ์ ในราคาที่กำหนดเมื่อถึงระยะเวลาที่ระบุไว้ ใบสำคัญแสดงสิทธิมักจะออกควบคู่กับการเพิ่มทุน

6) ใบสำคัญแสดงสิทธิระยะสั้น (Short - Term Warrant)
ใบสำคัญแสดงสิทธิชนิดนี้จะมีอายุไม่เกิน 2 เดือนและเป็นทางเลือกหนึ่งจากการระดมทุนจากผู้ถือหุ้นแทนการจัดสรรสิทธิในการจองซื้อหุ้นและบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์สามารถยืนคำขอให้รับเป็นหลักทรัพย์ประเภทที่ซื้อขายหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ได้

7) ใบสำคัญแสดงสิทธอนุพันธ์ (Derivative Warrant : DW)
เป็นตราสารที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับใบสำคัญแสดงสิทธิทั่วไป โดยจะให้สิทธิแก่ผู้ถือ DW ในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์อ้างอิง ซึ่งอาจเป็นหลักทรัพย์หรือดัชนีหลักทรัพย์ ในราคาใช้สิทธิ อัตราการใช้สิทธิและระยะเวลาใช้สิทธิที่กำหนดไว้ โดยบริษัทผู้ออก DW
เป็นหลักทรัพย์ หรือ เงินสดก็ได้

8) หน่วยลงทุน (Unit Trust)
คือ ตราสารที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.)ในรูปของหน่วยลงทุนของกองทุนรวมซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการระดมเงินทุนจากประชาชน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมจะเป็นผู้บริหารกองทุนให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุดแล้วนำมาเฉลี่ยคืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในรูปของเงินปันผลข้อดีของการลงทุนประเภทนี้คือจะมีผู้บริหารมืออาชีพดูแลเงินแทนเรา มีการกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ และมีอำนาจต่อรองที่มากกว่า เพราะเป็นกองทุนขนาดใหญ่

จะเห็นได้ว่า หุ้น มีอยู่หลากหลายประเภทแต่ละประเภทก็จะแตกต่างกัน ซึ่งนักลงทุนควรที่จะทำความเข้าใจก่อนที่จะเริ่มลงทุน โดยในทางทฤษฎีแล้ว นักลงทุนทุกคนมักต้องการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดโดยมีความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด แต่ในความเป็นจริงผลตอบแทนในการลงทุนนั้น แปรผันตรงกับความเสี่ยง หมายความว่า ยิ่งผลตอบแทนสูง ยิ่งต้องมีความเสี่ยงสูงตามไปด้วย นอกจากนี้การเลือกลงทุนยังขึ้นอยู่กับ อุปนิสัยของนักลงทุนแต่ละคนและเวลาที่นักลงทุนแต่ละคนจะมีด้วย ซึ่งอาจแบ่งเป็นกลุ่มง่ายๆ
ได้ดังนี้


ลักษณะของนักลงทุน หลักทรัพย์ที่เหมาะกับการลงทุน
- มีความเข้าใจระบบตลาดหลักทรัพย์เพียงพอ - หุ้นสามัญ
- มีเวลาศึกษาติดตามข้อมูลสถานการณ์ - หุ้นบุริมสิทธิ
- มีที่ปรึกษาการลงทุนที่เชี่ยวชาญ - หุ้นกู้แปลงสภาพ
- ต้องการผลตอบแทนรวดเร็วและพร้อมรับความเสี่ยง - ใบสำคัญแสดงสิทธิประเภทต่างๆ
- คาดหวังผลตอบแทนระยะยาว - หุ้นกู้
- เน้นการออมและการลงทุนระยะยาว - ตราสารในภาครัฐบาลและภาครัฐวิสาหกิจ
- ต้องการความเสี่ยงต่ำ หุ้นสามัญ ในกลุ่ม Blue - Chip บางตัว
- คาดหวังผลตอบแทนในระยะปานกลางถึงระยะยาว - หน่วยลงทุนในกองทุนต่างๆ
- ไม่เชี่ยวชาญในการซื้อขายหลักทรัพย์ - หน่วยลงทุนในกองทุนต่างๆ
- ไม่มีเวลาติดตามสถานการณ์ - หน่วยลงทุนในกองทุนต่างๆ
- ไม่มีความคล่องตัวในการลงทุน - หน่วยลงทุนในกองทุนต่างๆ

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตลาดหุ้นคืออะไร

เศรษฐกิจของประเทศไทยนั้นหลายคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีทั้งขาขึ้น และขาลง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจเติบโตเต็มที่แบบฟองสบู่หรือช่วงที่เกิดปัญหาวิกฤติทางด้านการเงินและวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก ในช่วงปี พ.ศ. 2540 ถึงปี 2542ทำให้บริษัท ห้างร้าน รวมถึงประชาชนทั่วไปตั่งแต่ระดับร่ำรวยจนถึงยากจน ล้มละลายและได้รับผลกระทบกันไปตามๆกัน
ทำให้หลายๆคนต้องดิ้นรนต่อสู้และทำทุกๆอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ที่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายของตัวเองซึ่งเราได้ฝ่าฟันวิกฤติต่างๆที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี จนถึงในปัจจุบันนี้เศรษฐกิจของประเทศเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ

ซึ่งจากประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้แนวความคิดในการหารายได้ของคนเริ่มเปลี่ยนไป หลายคนเริ่มอยากที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากเป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง ซึ่งเมื่อหลายคนคิดแบบนี้กันมากขึ้น ทำให้มีภาวะการแข่งขันกันเพิ่มสูงขึ้น และเกิดปัญหาในด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนตามมา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆในการที่จะเป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง

แต่อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่จะมาเติมเต็มความฝันของคนเหล่านี้ได้ นั่นก็คือ การร่วมเป็นเจ้าของกิจการกับบริษัทต่างๆ ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือการลงทุนในตลาดหุ้นนั่นเอง

ตลาดหุ้น คืออะไร?
ตลาดหุ้น หรือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คือ ตลาดซึ่งเป็นแหล่งรวมของบริษัทหลายๆ บริษัท ที่เข้ามาทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้ผู้ที่มีเงินเหลือเก็บ ซึ่งเราเรียกว่า "นักลงทุน" เข้ามาร่วมลงทุน และนักลงทุนเหล่านั้นก็จะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมถือหุ้นของบริษัทหรือร่วมเป็นเจ้าของในบริษัทนั้นๆ

การลงทุนในตลาดหุ้นจึงเป็นทางเลือกเพื่อการออมเงินในระยะยาวที่ผู้ออมสามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันการขาดทุนที่เกิดจากระดับอัตราเงินเฟ้อได้ ตลาดหลักทรัพย์จัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517

โดยมีวัตถุประสงค์
- เพื่อจัดให้มีแหล่งกลางสำหรับการซื้อ ขาย หลักทรัพย์
- เพื่อส่งเสริมการออมทรัพย์ และเพื่อการระดมเงินทุนในประเทศ

โดยได้เปิดให้มีการซื้อขายขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 โดยชื่อภาษาอังกฤษในขณะนั้น คือ "Securities Exchange of Thailand" และได้มีการเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษเป็น "The Stock
Exchange of Thailand (SET)" เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา

สำหรับการทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายหลักทรัพย์ และสนับสนุนการระดมเงินทุนระยะยาวของธุรกิจนั้น สามารถจำแนกออกได้ตามขนาดของธุรกิจที่ต้องการจะระดมทุน หรือ บริษัทจดทะเบียน โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำหน้าที่สนับสนุนการระดมทุนในตลาดทุนของธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ กิจการสาธารณูปโภค และรัฐวิสาหกิจที่มีการแปรรูป ซึ่งมีทุนชำระแล้วตั่งแต่ 200 ล้านบาท ขึ้นไป รวมทั้งเป็นศูนกลางการซื้อขายเปลี่ยนมือหลักทรัพย์ของบริษัทดังกล่าว ในขณะที่ ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2528 ทำหน้าที่สนับสนุนการระดมทุนในตลาดทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ หรือ SMEs ที่มีทุนชำระแล้วต่ำกว่า 200 ล้านบาท และเป็นศูนกลางการซื้อขายเปลี่ยนมือหลักทรัพย์ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดังกล่าว โดยเริ่มเปิดการซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2544

บทบาทและภาระหน้าที่ของตลาดหุ้น
)
1)ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนและพัฒนาระบบต่างๆที่จำเป็นเพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายหลักทรัพย์
2)ดำเนินธุรกิจใดๆที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น การทำหน้าที่เป็นสำนักหักบัญชี (Clearing House)ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ นายทะเบียนหลักทรัพย์ หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
3) การดำเนินธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

ที่มา
http://www.fpo.go.th/