วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

น้ำมันลงจากแรงขายทำกำไร หุ้นมะกัน-ทองคำทรงตัว


น้ำมันลงจากแรงขายทำกำไร หุ้นมะกัน-ทองคำทรงตัว
เอเอฟพี - ราคาน้ำมันวานนี้(18) ขยับลงจากการขายทำกำไร หลังพุ่งแรงหนึ่งวันก่อนหน้า ส่วนวอลล์สตรีท บวกเล็กน้อย หลังมีข่าวด้านดีเกี่ยวกับการเจรจาเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐฯ ขณะที่ทองคำทรงตัว เหตุไม่มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามาหนุน
      
       สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 11 เซนต์ ปิดที่ 95.35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมีนาคม ลดลง 25 เซนต์ ปิดที่ 110.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
      
       เบื้องต้นราคาน้ำมันขยับลงอย่างแรงจากการขายทำกำไรของนักลงทุน หลังพุ่งขึ้นแรงเมื่อวันพฤหัสบดี(17) อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวในแดนลบ ก็ถูกจำกัดลงจากข้อมูลของจีนที่เผยว่าเศรษฐกิจของประเทศช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2012 เติบโตสู่ร้อยละ 7.9 หลังหดตัวมา 7 ไตรมาสติดก่อนหน้านี้
      
       อีกปัจจัยที่สกัดไม่ให้ราคาน้ำมันดิ่งลงก็คือความกังวลต่อปัญหาอุปทานขาดแคลน จากเหตุจับตัวประกันในแอลจีเรีย ชาติผู้ส่งออกพลังงาน หลังปฏิบัติการจู่โจมเข้าช่วยเหลือของกองทัพแอลจีเรียนำมาซึ่งการสูญเสียเลือดเนื้อของตัวประกันจำนวนมาก เรียกเสียงประณามจากนานาชาติจมหู
      
       ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(18) ปิดบวกพอประมาณ หลังมีข่าวว่าสมาชิกสภาคองเกรสจากพรรครีพับลิกัน อาจเปิดทางสำหรับเพิ่มเพดานหนี้ระยะสั้นเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตรอบใหม่ ตามหลังเพิ่งผ่าทางตันรอดวิกฤตหน้าผาการคลังไปหมาดๆ อย่างไรก็ตามผลกระกอบอันน่าผิดหวังของอินเทล ก็ฉุดให้แนสแดค ขยับลง
      
       ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 53.68 จุด (0.39 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 13,649.70 จุด แนสแดค ลดลง 1.29 จุด (0.04 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,129.34 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 5.03 จุด (0.34 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,485.97 จุด
      
       แนสแดค ถูกฉุดให้ปิดในแดนลบโดยหุ้นของอินเทล บริษัทผู้ผลิตไมโครโพรเซสเซอร์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิคส์ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งขยับลงร้อยละ 6.3 หลังเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 น่าผิดหวัง โดยมีกำไรลดลงถึงร้อยละ31 ทำให้บริษัทต้องปรับลดประมาณการณ์ผลประกอบการปี 2013 ลงจากเดิม
      
       ด้านราคาทองคำวานนี้(18) ทรงตัว เนื่องจากแทบไม่มีข้อมูลทางเศรษฐสำคัญใหม่ๆปรากฎออกมาเลย โดยราคาทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 3.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,687.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ที่มา
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000007403

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

ทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2556

ทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2556


ปี 2555 เป็นอีกปีหนึ่งที่ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นสวนทางกับภาวะทางเศรษฐกิจโลกที่ประสบกับภาวะของการชะลอตัว หากเรามองย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้นของปี 2555 เราคงไม่คาดคิดว่า ตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวขึ้นมาเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นที่สุดในโลกและสามารถทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 คำถามที่เกิดขึ้นคือ เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทยในช่วงปีที่ผ่านมา? และแนวโน้มในปี 2556 จะเป็นอย่างไร?

ผมคิดว่า มีปัจจัยสำคัญอยู่ห้าปัจจัยด้วยกันที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ปัจจัยแรกคือ การใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งมีส่วนสนับสนุนที่สำคัญต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ปัจจัยที่สองคือ พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่แข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น เป็นตัวสนับสนุนเม็ดเงินลงทุนให้ไหลเข้าสู่ภูมิภาค ปัจจัยที่สาม คือการใช้นโยบายของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เช่น นโยบายบ้านหลังแรก รถคันแรก การปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในปีที่ผ่านมา ปัจจัยที่สี่คือ การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของภาคธุรกิจภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 และปัจจัยสุดท้าย คือสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่ค่อนข้างนิ่ง ไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรง ซึ่งมีส่วนเอื้อต่อภาวะการลงทุน ทำให้ส่วนลด (Discount) ของตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเริ่มมีช่องว่างที่แคบลงจากความเสี่ยงทางการเมืองที่ลดลง และสามารถสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในหุ้นปี 2556 ผมลองสำรวจตรวจสอบดูความเห็นของบรรดาโบรกเกอร์ พบว่า เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปี 2556 ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ช่วงประมาณ 1480-1500 จุด ซึ่งหากเทียบกับระดับ SET Index ในระดับปัจจุบัน ถือว่ามีโอกาสในการปรับตัวขึ้น(Upside) ที่ไม่มากนัก ดังนั้น การเลือกหุ้นเพื่อลงทุน (Stock Selection) ในช่วงถัดจากนี้ไป จะเป็นงานที่ยากและท้าทายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเลือกหุ้นภายหลังจากที่หุ้นมีการปรับตัวขึ้นมามากพอสมควร การที่จะหาหุ้นที่ถูกมองข้ามและราคายังไม่ค่อยมีการปรับตัวขึ้น หาได้น้อยเต็มทีครับ ดังนั้น ผมจึงคิดว่า เราควรกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนโดยมีการกำหนดกรอบการคัดสรรหุ้นให้สอดคล้องกับแนวโน้มและทิศทางการลงทุน (Theme) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า เช่น การเข้าสู่ช่วงจากวัฎจักรการลงทุนรอบใหม่ (Investment cycle) ของเศรษฐกิจไทย การเดินหน้าผลักดันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ ในขณะเดียวกันต้องเลือกหุ้นให้สอดรับกับแนวโน้มใหญ่ (Trend) ที่กำลังเกิดขึ้น เช่น การขยายตัวของตลาดจากการเปิดเขตการค้าเสรี การเคลื่อนย้ายทุน ทรัพยากร และแรงงานที่เปิดกว้างขึ้น บทบาทของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนกับเศรษฐกิจโลกที่ทวีความสำคัญ และกำลังเป็นจุดสนใจของนักลงทุนทั่วโลก การเข้าสู่สังคมเมืองของประชากรโลก (Urbanization) นโยบายรัฐบาลในหลายประเทศ ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนของการบริโภคภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก โครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมของคนสูงวัย และอิทธิพลของเทคโนโลยีการสื่อสาร โซเชียลเน็ตเวิร์ค เป็นต้น ดังนั้น หากเราลองจับเอา Theme และ Trend ดังกล่าว เพื่อนำมากำหนดกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นสำหรับลงทุนปี 2556 ผมคิดว่าหุ้นที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง (ธุรกิจโรงแรม ค้าปลีก และสายาการบินราคาประหยัด ) กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มบรรจุภัณฑ์ กลุ่มอาหาร และกลุ่มธุรกิจประกัน ครับ

ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานที่ว่า สหรัฐมีข้อสรุปที่คลี่คลายจากปัญหาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal cliff) ภายในช่วงไตรมาสแรกของปี เศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดในปี 2555 ไปแล้ว และน่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อไปตลอดทั้งปีครับ ท้ายที่สุดนี้ ผมขออนุญาตใช้โอกาสนี้ในการกล่าว “สวัสดีปีใหม่ ครับ”

ที่มา
http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000001165

IMF เตือนโลกเจอวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ หากสหรัฐฯ-ยุโรป แก้หนี้เหลว

IMF เตือนโลกเจอวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ หากสหรัฐฯ-ยุโรป แก้หนี้เหลว




ไอเอ็มเอฟ เตือนทั่วโลกเสี่ยงเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หากสหรัฐ-ยุโรปล้มเหลวแก้วิกฤตหนี้ เผยประเทศกำลังพัฒนากระทบหนัก ราคาอาหารพุ่งสูง

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2556 เว็บไซต์เทเลกราฟของอังกฤษ รายงานว่า คริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ออกโรงเตือนถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ว่า หากสหรัฐฯ ล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้ และยุโรปไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะได้ จะส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่อย่างแน่นอน เพราะเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐฯ และยุโรปมีขนาดใหญ่ และมีความเชื่อมโยงทั้งทางด้านการค้าและการลงทุนกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่อาจได้รับผลกระทบหนัก ต้องเผชิญกับราคาอาหารที่ดีดตัวสูงขึ้น

สำหรับความเคลื่อนไหวของข้อตกลงขยายเพดานหนี้นั้น สถานการณ์ขณะนี้ยังคงไม่มีความคืบหน้า โดยประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้เตือนสมาชิกสภาคองเกรสจากพรรครีพับลิกัน ว่า ควรให้ความร่วมมือเพื่อบรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้อย่างจริงจัง เพราะหากคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อเปิดทางให้สหรัฐฯ สามารถชำระหนี้ได้ทัน จะสร้างความหายนะต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ทั้งนี้ สภาคองเกรสยังคงต้องหารือรายละเอียดการปรับเพิ่มเพดานหนี้ที่ 16.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ให้ทันกำหนดเส้นตายในเดือนมีนาคมนี้

อย่างไรก็ตาม พรรครีพับลิกันยังยืนกรานจะปรับเพิ่มเพดานหนี้ต่อเมื่อมีการตัดลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และปฏิรูปโครงการสวัสดิการสังคม โดยเฉพาะเงินบำนาญและประกันสุขภาพผู้สูงอายุ

สำหรับสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะนี้มีแนวโน้มดีขึ้น โดยจากผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งจัดทำโดย บลูมเบิร์ก พบว่า ยอดขาดดุลการค้าในเดือนพฤศจิกายนซึ่งมีกำหนดเปิดเผยอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 11 มกราคมนี้ มีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ 4.12 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดลงจากเมื่อเดือนตุลาคมที่ 4.22 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หลังต้นทุนการนำเข้าเชื้อเพลิงลดลง ขณะที่ภาคการส่งออกปรับตัวขึ้นจากผลพวงของเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัว


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/80507

สรุปข่าวเด่นกองทุนดัง หุ้นเอเชียดาวเด่นปี 2013






สรุปข่าวเด่นกองทุนดัง หุ้นเอเชียดาวเด่นปี 2013

หวือหวาตั้งแต่ต้นปีทั้งหุ้นไทยและภูมิภาคเอเชียได้รับอานิสงส์จากเงินทุนไหลเข้ากันทั่วหน้า แต่ในส่วนของไทยโดนแรงเทขายทำกำไรไปบ้างทำให้มาร์เกตแคปที่ลุ้นให้ทะลุ 1.2 ล้านล้านยังต้องติดตามกันต่อไป เพราะยังมีหลายปัจจัยให้ต้องติดตาม แม้จะโล่งอกกันไปแล้วกับเรื่องหน้าผาการคลังของสหรัฐอเมริกา (Fiscal Cliff)

แว่วว่าอีกไม่กี่เดือนสหรัฐฯ เองยังต้องเผชิญกับการตัดลดงบประมาณที่จะต้องมีการพิจารณากัน นอกจากนี้ ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปเองยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงได้อย่างรวดเร็ว เอาเป็นว่าคงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะจบอย่างไร

แต่ที่ดูเหมือนจะจบเร็วกว่าเพื่อนคงเป็นละคร “เหนือเมฆ” ที่ถูกปลดกลางอากาศด้วยเหตุผลของเนื้อหาบางช่วงบางตอน (แทงใจนักการเมือง) ไม่เหมาะแก่การออกอากาศ...นึกแล้วขำเหตุผลห่วยๆ ที่นำมาอ้าง สงสัยคนไทยคงจะต้องดูแต่ละคร มุนินทร์ มุตตา และมุสาเท่านั้นเนื้อหาถึงจะเหมาะสม

เข้าเรื่องกันดีกว่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนหุ้นจะดีแล้ว วิวการลงทุนในภูมิภาคเอเชียยังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เริ่มต้นกับ บลจ.ทิสโก้ สาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวมบอกว่า ในปีนี้แนะนำให้ลงทุน คือ ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่น (Asia Pacific ex. Japan) โดยจีนเป็นประเทศที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด เนื่องจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยประเด็นสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนในปีนี้คือ การเปลี่ยนถ่ายผู้นำของจีนที่จะเสร็จสิ้นในเดือน มี.ค.

นอกจากนี้ คาดว่าภาคการเงินของจีนก็มีแนวโน้มได้รับการกระตุ้นเช่นเดียวกัน หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อของจีนไม่เป็นปัญหาอย่างเช่นอดีตที่ผ่านมา ทำให้การที่ทางการจีนจะหามาตรการเพื่อผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น และน่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้น

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. แอสเซท พลัส จำกัด ยังบอกอีกว่า นักวิเคราะห์คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียจะเติบโตสูงขึ้น และมีศักยภาพการเติบโตที่สูงที่สุดในโลก นำโดยประเทศจีนที่คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะกลับมาสูงถึงร้อยละ 8.1 เพิ่มขึ้นจากปี 2012 ที่ร้อยละ 7.7 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของนักลงทุนในตลาดหุ้นจีน ประกอบกับตลาดหุ้นจีน และเอเชียยังได้รับปัจจัยบวกจากการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในวงเงินกว่า 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน

นายต่อ อินทวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า ในปีนี้เชื่อว่าหุ้นเอเชียยังคงเป็นดาวเด่นต่อจากปีที่ผ่านมาซึ่งจะมีเงินลงทุนจำนวนมากไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชียที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง

ส่วนตลาดหุ้นไทยในปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งสภาพคล่องทั่วโลกยังมีสูงและมีโอกาสที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่เราประเมินนั้นส่วนใหญ่จะมาจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ

จากการวิเคราะห์ดูเหมือนทุกอย่างจะเข้าล็อกในการเลือกลงทุนตลาดหุ้นเอเชีย เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจและรับความเสี่ยงได้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเอเชียมาให้เลือกเช่นกัน

กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 8% # 6” (TISCO China Trigger 8% Fund # 6) กองทาร์เกตฟันด์ลงทุนในหุ้นจีน โดยจะลงทุนผ่านกองทุนอีทีเอฟต่างประเทศ ได้แก่ กองทุน Hang Seng H-Share Index ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยมีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprise (HSCEI) หรือ H-Shares โดยมีอายุโครงการประมาณ 8 เดือน หรือสามารถเลิกโครงการก่อนครบกำหนดอายุโครงการ หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 8% มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท เปิดเสนอขายเพียงครั้งเดียว ตั้งแต่ 4-14 ม.ค. 56

กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสตาร์ 4 (ASP-STARS 4) ระหว่างวันที่ 4-15 มกราคม 56 ที่จะเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศจีน และเอเชียที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและมีการเติบโตของธุรกิจสูง โดยผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนตั้งแต่ 0-100% เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด และกองทุนมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทน 9% ภายใน 9 เดือน ด้วยวิธีรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ปรับขึ้นผ่านระดับ 10.90 บาท จากราคาเริ่มต้นที่ 10 บาท

สนใจกองไหนสามารถเลือกกันได้เลยสำหรับคนที่รับความเสี่ยงและความผันผวนได้


ที่มา
http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000001590