วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

ต่างชาติโอดหุ้นขาดตลาด ตลท.หนุน บจ.เพิ่มหุ้น แบงก์-พลังงาน เนื้อหอม

ต่างชาติโอดหุ้นขาดตลาด ตลท.หนุน บจ.เพิ่มหุ้น แบงก์-พลังงาน เนื้อหอม

ต่างชาติติง!สนใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนไทย แต่ติดปัญหาไม่มีหุ้นให้ซื้อ ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯสบช่อง ชี้เป็นจังหวะดีหนุนบจ.เพิ่มทุนเสริมสภาพคล่อง หลังพบความต้องการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมีสูง ฝั่งบล.ภัทร แจง ต่างชาติสนในเข้าฟังข้อมูลหุ้นกลุ่มแบงก์มากสุด รองมาคือ พลังงาน จากแนวโน้มกำไรดี ส่วนปัญหาการเมืองกลายเป็นเรื่องพื้นๆ มีคำถามน้อยลง

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการสำรวจความคิดเห็นของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมให้ข้อมูลแก่นักลงทุนต่างประเทศในงานไทยแลนด์โฟกัส พบว่านักลงทุนสถาบันต่างประเทศนั้นให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในบริษัทแต่ขณะนี้ติดปัญหาที่ไม่มีหุ้นที่จะเสนอขาย ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีที่บริษัทจดทะเบียนไทยจะมีการเพิ่มทุน ในการเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (PP) การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่นักลงทุนทั่วไป (PO) ฯลฯ จากที่บริษัททราบว่ามีความต้องการที่จะซื้อหุ้นจากนักลงทุนสถาบัน

ทั้งนี้จากการที่ค่าP/E ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 13-14 เท่า นั้นถือว่าเป็นปัจจัยหนุนที่จะทำให้บจ.ไทยมีการพิจารณาเพิ่มทุนมากขึ้น จากที่จะได้ราคาเสนอขายหุ้นที่ดี และยิ่งดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นจะทำให้บริษัทจดทะเบียนหันมาใช้ตลาดุทนในการระดมทุนมากขึ้นจากมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ จึงทำให้ตลาดหลักทรพัย์ฯคาดว่าปีนี้แนวโน้มบจ.จดทะเบียนปีนี้ คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยในช่วง2-3 เดือนแรกปีนี้บจ.ประกาศระดมทุนแล้วมูลค่า 40,000 ล้านบาท

สำหรับบจ.ที่ราคาหุ้นถูกอยู่จำนวนมาก ปัจจุบันมีหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำกว่า 10 เท่า จำนวน 193 บริษัท คิดเป็น 36% ของบจ.ทั้งหมด โดยบริษัทที่มีค่าP/E ระหว่าง 10-20 เท่า มีจำนวน 182 บริษัท หรือคิดเป็น 34% ของ บจ.ทั้งหมด ซึ่งรวม 2 กลุ่มนั้น คิดเป็น 70% ของบจ.ทั้งหมด ซึ่ง สะท้อนให้เห็นว่ามีบจ.ที่มีราคาที่ต่ำอีกจำนวนมากที่ยังน่าสนใจในการเข้าไปลงทุน

อย่างไรก็ตามส่วนตัวเชื่อว่าการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสจะสร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะส่งผลให้มีบริษัทที่จะเข้าเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯคงเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)ของหุ้นใหม่ปีนี้ที่ 1 แสนล้านบาท เนื่องจาก ขณะนี้มีบริษัทที่จะเตรียมเสนอขายหุ้นหลายบริษัทจะมีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ กระจายในหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มอาหาร คือ บริษัทน้ำตาลครบุรี กลุ่มธนาคาร คือ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป ซึ่งจะเพิ่มความน่าสนใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นไอพีโอ

“การจัดงานไทยแลนด์โฟกัสครั้งนี้ได้สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน จากการสื่อสารข้อมูลจากทั้งภาครัฐและเอกชนตลาดทั้ง 3 วัน แสดงถึงความแข็งแกร่งของบจ.ไทย เศรษฐกิจไทยโดรวมที่เติบโตดี ซึ่งมีนักลงทุนจำนวนมากที่แสงดความสนใจชัดแจนในการเข้าลงทุนเมื่อมีโอกาส และจากการที่เศรษฐกิจในอาเซียนในช่วง 4-5 ปีข้างหน้าและจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและส่งผลกระทบกับภูมิภาคอื่น จำทำให้นักลงทุนต่างประเทศมองหาแห่งลงทุนที่มีการแนวโน้มการให้ผลอตบแทนที่ดี ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ในการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนก็จะเป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุน ”นายชนิตร กล่าว

ด้าน นายธีระพงษ์ วชิรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้บรรลุวัตถุประสงค์ในการนำเสนอข้อมูลจากผู้บริหารนโยบายภาครัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่สำคัญที่เน้นถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลก ซึ่งในงานนั้นมีการประชุมย่อยประมาณ 800 ครั้งในงาน ทั้ง one-on-one meeting ระหว่างผู้ลงทุนกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนถึงเกือบ 500 ครั้ง และ group meeting อีกกว่า 300 ครั้ง เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้สอบถามข้อมูลโดยตรงจากผู้บริหาร และการพบกับผู้บริหารจำนวนมากในเวลาเดียวกัน

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะมีโอกาสเปรียบเทียบข้อมูล และสามารถเชื่อมโยงถึงโอกาสในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ผู้ลงทุนได้ให้ความสนใจ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างประเทศสนใจมากที่สุด 4 อันดับ แรก คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ กลุ่มค้าปลีก

นอกจากนี้ การจัดการครั้งนี้นักลงทุนต่างชาติสอบถามเรื่องการเมืองลดน้อยลง น่าจะมีข้อพิสูจน์จากปีที่ผ่านมาแม้จะมีเหตุการณ์รุนแรงในประเทศแต่กำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ยังขยายตัวในระดับสูงถึง 30% และราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ภาพรวมการลงทุนดีขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน จากก่อนหน้านี้ราคาจะอยู่ในระดับต่ำกว่าประมาณ 30%

“การจัดงานไทยแลนด์โฟกัสครั้งนี้ถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนต่างประเทศดีกว่าทุกครั้งที่จัดมาสถานการณ์ต่างๆในเมืองไทยดี นักลงทุนกังวลปัจจัยการเมืองน้อยลง ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น กำไรบจ.ปีก่อนโต 30% แม้จะมีปัญหาการเมืองในช่วงต้นปี ”นายธีระพงษ์ กล่าว

ด้าน นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า การให้ข้อมูลวานนี้พบว่า นักลงทุนต่างชาติยังสนใจลงทุนในประเทศในภูมิภาคเอเชียและไทย ซึ่งคาดว่าใน 4-5 ปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้นจากปัจจุบันอีก 40-50% ขณะเดียวกันในเร็วๆนี้ภาครัฐจะมีมาตรการออกมาช่วยอไนวยความสะดวกต่อการลงทุนในไทยของนักลงทุนต่างชาติ นอกเหนือจากการลดภาษีด้วย รวมถึงการเพิ่มทำการวิจัยในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมางบดังกล่าวใช้เพียง0.2-0.3%ของจีดีพี แต่ความจริงน่าจะเพิ่มเป็ฯ1%ของจีดีพีเพื่อช่วยพัฒนาอุตสาหกรรม


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์