วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

4สินค้าจ่อคิวขึ้นราคา

4สินค้าจ่อคิวขึ้นราคา

พาณิชย์จนมุมต้นทุนพุ่ง ทีดีอาร์ไอไล่บี้รัฐเลิกคุม

นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้ากรมจะเรียกประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาราคาผลิตภัณฑ์นมสดพร้อมดื่ม และปุ๋ยเคมี หลังจากสินค้าทั้ง 2 รายการมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น จนผู้ผลิตแจ้งขอปรับราคาเข้ามา โดยการพิจารณาผลิตภัณฑ์นมสดคาดว่าจะอนุมัติให้นมสดพาสเจอร์ไรซ์และนมยูเอชทีขนาดเล็กขึ้นราคาไม่เกิน 25 สต.ต่อกล่องหรือขวด ส่วนขนาดใหญ่จะอนุมัติให้ปรับราคาตามสัดส่วน ซึ่งเป็นผลจากมติ ครม.ที่อนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำนมดิบอีก กก.ละ 1 บาท จาก 17 บาท เป็น 18 บาท เมื่อรวมกับการปรับขึ้นราคาน้ำนมดิบ 50 สต.ช่วงปลายปีที่แล้ว ทำให้ต้นทุนน้ำนมดิบปรับขึ้นราคามาแล้วถึง 1.50 บาท

ส่วนการพิจารณาปุ๋ยเคมีจะอนุมัติให้ขึ้นราคาบางสูตร โดยผู้ผลิตปุ๋ยยูเรียขอปรับขึ้นราคามา 3 สูตรเฉลี่ย 8-10% แต่การพิจารณาอาจไม่ยอมให้ปรับราคาตามที่ผู้ประกอบการเสนอมาทั้งหมด เพราะเกรงว่าจะกระทบกับเกษตรกรผู้ใช้ปุ๋ยมากเกินไป ส่วนสินค้าเหล็กและน้ำมันถั่วเหลือง ยังไม่เรียกประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาในเร็วๆ นี้ เพราะขอดูสถานการณ์ต้นทุน และปริมาณสินค้าอย่างละเอียดก่อน

นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการดูแลราคาสินค้าหลังหมดมาตรการตรึงราคาในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ประเมินว่าสินค้าส่วนใหญ่ยังตรึงราคาต่อ โดยขณะนี้บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ได้ยืนยันจะตรึงราคาต่อไปจนถึงไตรมาส 3 ดังนั้นผู้ประกอบการรายอื่นที่ยื่นขอปรับเข้ามาในส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคก็น่าจะตรึงราคาต่อไปได้

อย่างไรก็ตามจะมีเพียงสินค้า 4 รายการ คือ นม ปุ๋ยเคมี เหล็ก และน้ำมันถั่วเหลืองเท่านั้น ที่อาจมีการพิจารณาให้ปรับราคา เพราะต้นทุนสูงขึ้นจริง

สำหรับสินค้าน้ำตาลทรายบรรจุถุงขนาด 1 กก.นั้น กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมกำลังเร่งหารือกับโรงงานน้ำตาลทราย และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุป ก่อนเสนอ
ครม.พิจารณาในสัปดาห์หน้า ซึ่งหากครม.ไม่อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย จะต้องมีแนวทางให้กระทรวงพาณิชย์ว่าจะแก้ไขปัญหาน้ำตาลทรายบรรจุถุงขาดแคลนอย่างไร เพราะต้นทุนถุงปรับขึ้นจริง หรือขึ้นมาอยู่ที่ถุงละ 1.30 บาท แต่กระทรวงพาณิชย์ขอให้ผู้ประกอบการตรึงราคาไว้ที่ 75 สตางค์เท่าเดิม เพื่อไม่ให้กระทบราคาน้ำตาลขายปลีก ซึ่งจะกระทบกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและประชาชนในประเทศมากเกินไป

สำหรับสินค้าน้ำมันปาล์มบรรจุขวด ในวันที่ 30 มี.ค.นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งจะมีการทบทวนการชดเชยน้ำมันปาล์ม 40,000 ตัน ให้โรงกลั่นรับซื้อผลผลิตในประเทศ โดยให้รัฐชดเชย กก.ละ 2.50 บาท ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ เพราะขณะนี้สถานการณ์เริ่มกลับเข้าภาวะปกติ อาจไม่มีความจำเป็นต้องชดเชย

นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า รัฐบาลต้องรีบยกเลิกนโยบายการควบคุมราคาสินค้าโดยเร็วที่สุดและปล่อยให้กลับสู่ระบบเสรี โดยมีระบบประกันความเสี่ยงให้เกษตรกรหรือคนจน ขณะเดียวกันรัฐบาลต้องกำกับดูแลไม่ให้เกิดการค้าที่ผูกขาดในสังคมด้วย เพราะที่ผ่านมาประชาชนโดยเฉพาะคนจนต้องได้รับความเดือดร้อนจากการคุมราคาสินค้า เนื่องจากมีการกักตุนสินค้าไว้เก็งกำไรจำนวนมากจนนำไปสู่ปัญหาขาดแคลน เห็นได้จากเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา น้ำมันปาล์มและน้ำตาลขาดแคลนที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดอย่างมาก

ทั้งนี้รัฐบาลต้องปล่อยให้ราคาสินค้าลอยตัวโดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร ขณะเดียวกันก็จำกัดการช่วยเหลือเฉพาะคนที่ยากจนจริง ๆเท่านั้นโดยจัดกลุ่มให้ชัดเจน ให้มีการลงทะเบียนให้ถูกต้องแล้วสร้างระบบดูแลเป็นการเฉพาะ เช่นจัดทำคูปองเพิ่มรายได้ให้นอกเหนือจากรายได้ที่ได้รับอยู่ในปัจจุบัน แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะให้การช่วยเหลือแบบให้เปล่าเช่นในปัจจุบันแต่ต้องให้คนเหล่านี้ทำงานแลก

สำหรับคนที่ไม่มีความรู้หรือไม่มีอาชีพนั้น อยากเสนอให้ภาครัฐจัดให้มีการฝึกอบรมอาชีพให้คนเหล่านี้มีทักษะสามารถประกอบอาชีพได้ด้วย ไม่ใช่ให้การช่วยเหลือแบบเหวี่ยงเป็นการทั่วไป เช่นที่เคยทำมาในอดีต เพราะทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณในการดูแลเป็นจำนวนมาก แต่ทั้งนี้เมื่อเทียบกับมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้ว กลับไม่คุ้มค่าแต่อย่างใด.


ที่มา
เดลินิวส์

RSเหนือแกรมมี่ทีวีดาวเทียมฉลุยรายได้ปีนี้400ล้าน

RS รุกฆาตทีวีดาวเทียม GRAMMY โอ่ช่อง YOU CHANNEL เรตติ้งพุ่งแซง BANG CHANNEL ถอยหลังไม่เอาลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโร ชี้ไม่คุ้มที่จะทุ่มลงทุน ลุยเปิดตัวช่อง 8 อินฟินิตี้ ใช้งบลงทุน 100 ล้านบาท ถึงจุดคุ้มทุนภายในสิ้นปี ลั่นธุรกิจขาขึ้นสุดขีดรายได้ทีวีดาวเทียมทั้งปีทะยาน 400 ล้านบาท



นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจทีวีดาวเทียมของบริษัทมีอัตราการเติบโตและได้รับความนิยมจากผู้ชมในระดับสูง โดยเฉพาะช่อง YOU CHANNEL ซึ่งมีเรตติ้งสูงกว่าช่อง BANG CHANNEL ของทางแกรมมี่ในกลุ่มช่องเพลง ขณะที่ สบายดี ทีวี ยังมีอัตราเรตที่สูสีกับช่อง FAN TV

“ตอนนี้ธุรกิจทีวีดาวเทียมของเรายังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และได้ผ่านจุดคุ้มทุนมาแล้ว โดยอย่างช่อง YOU CHANNEL ก็มีอัตราเรตที่สูงมากกว่า BANG CHANNEL ไปแล้วในกลุ่ม MUSIC ส่วนช่อง สบายดี ทีวี ยังคงสูสีกับ FAN TV อยู่” นางพรพรรณ กล่าว

โดยนางพรพรรณ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับกรณีลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโรครั้งล่าสุด ทางบริษัทจะไม่ได้เป็นผู้รับบริหารจัดการ เพราะมองว่าไม่คุ้มที่จะทุ่มลงทุนมากนัก และในครั้งนี้ทางแกรมมี่เป็นผู้ได้ลิขสิทธิ์และใช้เม็ดเงินสูงกว่าราคาที่ RS ยื่นไปประมาณ 50-60%

สำหรับภาวะอุตสาหกรรมทีวีดาวเทียมที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง RS จึงได้ประกาศเปิดตัวสถานีโทรทัศน์ทีวีดาวเทียม ช่อง 8 อินฟินิตี้ ฟรีทีวีคอนเทนต์เกรดเอ ซึ่งใช้งบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท และจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนภายในสิ้นปี โดยหลังจากที่บริษัทได้ทดลองออกอากาศในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีกระแสตอบรับจากทางผู้ชมและลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบันได้มีลูกค้าบางส่วนที่เข้ามาลงโฆษณาในช่อง 8 แล้ว จึงคาดการณ์รายได้จากธุรกิจทีวีดาวเทียมทั้งปีจะเติบโตถึง 400 ล้านบาท

ทั้งนี้ ช่อง 8 อินฟินิตี้ จะเป็นวาไรตี้ 24 ชั่วโมง เน้นผลิตและสร้างสรรค์ความบันเทิงเสนอแก่ผู้รับชม โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในสิ้นเดือนมีนาคม ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ละครใหม่ของบริษัท พร้อมด้วยภาพยนตร์ดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซีรี่ย์ รายการข่าว เกมโชว์ ทอล์กโชว์ เรียลลิตี้โชว์ ให้ผู้ชมเต็มอิ่มตลอด 24 ชั่วโมง ในเฟสของละครคาดว่าน่าจะพร้อมออกอากาศในเดือนพฤษภาคมนี้

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมที่จะเปิดตัวช่องทีวีดาวเทียมเพิ่มอีก 2 ช่อง ได้แก่ช่อง YAAK ที่จะใช้เงินลงทุน 60-70 ล้านบาท มีโอกาสคุ้มทุนภายในสิ้นปีเช่นกัน และอีกช่องจะเป็นเกี่ยวกับช่องช็อปปิ้งรวมถึงยังมีแผนที่จะเปิดตัวช่องกีฬา ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล

“ช่อง 8 อินฟินิตี้ เราใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท เชื่อว่าจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในสิ้นปี และขณะนี้ก็มีลูกค้าบางส่วนเข้ามาลงโฆษณากันแล้ว ส่วนช่อง YAAK จะเปิดตัวในช่วงเดือนกรกฎาคม ใช้งบลงทุน 60-70 ล้านบาท คุ้มทุนในสิ้นปีเช่นกัน ส่วนช่องช็อปปิ้งและกีฬา ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา สำหรับอุตสาหกรรมทีวีดาวเทียมคาดว่าในปี 2554 จะมีเม็ดเงินเติบโตมากถึงระดับ 3,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่ง 5% จากเม็ดเงินโฆษณาของโทรทัศน์รวม 60,000 ล้านบาท และจะเติบโตขึ้นสู่ระดับ 6,000 ล้านบาท ภายในปี 55” นางพรพรรณ กล่าว

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/54 จะมีแนวโน้มรายได้และกำไรมากกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มีรายได้จำนวน 535 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 52 ล้านบาท หลังจากได้ปัจจัยหนุนจากการเติบโตของธุรกิจคอนเทนต์ ธุรกิจดิจิตอล ธุรกิจมีเดีย รวมถึงทีวีดาวเทียม และยังคงตั้งเป้ารายได้ทั้งปีเติบโตขึ้นสู่ระดับ 3,100 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ได้ 2,917 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าเรื่องกองทุนสนใจซื้อหุ้น RS นางพรพรรณกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามีกองทุนที่ให้ความสนใจ แต่ยังคงไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากกองทุนต้องการซื้อหุ้นโดยตรงจากบริษัท ขณะที่ผู้บริหารอย่างนายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไม่ได้มีความสนใจที่จะขายหุ้นออกมา รวมถึงไม่มีแผนที่จะออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่นยังคงไม่สามารถตอบแทนได้ว่าจะขายหุ้นให้กับกองทุนหรือไม่

ที่มา
ข่าวหุ้น

หุ้นแบงก์วิ่งกระฉูด ขานรับฝรั่งรุมตอม และดอกเบี้ยขาขึ้น

หุ้นแบงก์วิ่งกระฉูด ขานรับฝรั่งรุมตอม และดอกเบี้ยขาขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวขึ้นแรงในวันนี้ โดยล่าสุด ณ เวลา 11.45 น.ราคาหุ้น BBL บวก 5 บาท SCB บวก 2 บาท KTB บวก 1.5 บาท KBANK บวก 1.5 บาท TMB บวก 0.04 บาท BAY บวก 0.40 บาท

บล.ทรีนีตี้ระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ ภาพของธุรกิจ บจ.น่าจะสะท้อนในรูปกำไรที่เติบโตได้มากในปี 2554 โดยเฉพาะ Real Sector กลุ่มธนาคาร KTB, SCB, KBANK มีแนวโน้มที่จะ Outperform ตลาดจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

วานนี้นายธีระพงษ์ วชิรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีการนำเสนอข้อมูลต่อผู้ลงทุน และได้รับความสนใจมากที่สุด คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ รองลงมา ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งมีแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่เป็นบวก อันดับสาม ได้แก่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีความสนใจใกล้เคียง กับกลุ่มพลังงาน ในขณะที่กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ก็ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาว

นอกจากนี้ กลุ่มเกษตรและอาหาร ถือว่ามีผลประกอบการที่ดีตั้งแต่ปีก่อน และคาดว่าจะยังคงต่อเนื่อง จากราคายางที่ปรับตัวดีขึ้น และราคาอาหาร เช่น ไก่ ทำให้เป็นหุ้นที่โดดเด่นอีกกลุ่ม

ที่มา
ข่าวหุ้น

ดัชนีอุตฯเดือน ก.พ.หล่น 3.43% หวั่นวิกฤตญี่ปุ่นกระทบตัวเลข 1-2 เดือนหน้า

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ก.พ.ลดลง 3.43% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน หลังการผลิต Hard Disk Drive และการกลั่นน้ำมันชะลอตัว เนื่องจากผู้ประกอบการปิดโรงกลั่นซ่อมบำรุงเครื่องจักรประจำปี ส่วนการผลิตกลุ่มยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยังขยายตัว แต่เตือนให้ระวังปัญหาสึนามิญี่ปุ่น ส่งผลกระทบต่อดัชนีอุตสาหกรรมในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า

วันนี้ (29 มี.ค.) นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกุมภาพันธ์ 2554 ลดลง 3.43% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.10% อุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อการลดลงของ MPI ที่สำคัญ ได้แก่ การผลิต Hard Disk Drive การกลั่นน้ำมัน ขณะที่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมอาหาร ยังขยายตัวได้ดี ส่วนปัจจัยแผ่นดินไหวที่ประเทศญี่ปุ่นประกอบกับถูกคลื่นยักษ์สึนามิถล่ม เมื่อกลางเดือนมีนาคมจะส่งผลต่อ MPI ในอีก 2 เดือนข้างหน้า

นางสุทธินีย์ กล่าวว่า การผลิต Hard Disk Drive เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนการผลิตและจำหน่าย ลดลงใกล้เคียงกัน 11.6% และ 10.0% ตามลำดับ เนื่องจากปีก่อนตลาด Hard Disk ขยายตัวได้ดีกว่าปีนี้ จากการฟื้นตัวของความต้องการสินค้าคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก รวมถึงผลของการปรับปรุงระบบและการอัพเกรดคอมพิวเตอร์ การกลั่นปิโตรเลียม เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายลดลง 22.3% และ11.2% ตามลำดับ เนื่องจากผู้ประกอบการปิดโรงกลั่นเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักรประจำปี การผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและการจำหน่ายโทรทัศน์รวมทั้งจอ CRT, LCD และ PLASMA การผลิตและการจำหน่ายลดลง 29.4% และ 22.6% ตามลำดับ เนื่องจากตลาดในประเทศลดลง 34.5% ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้น 6.5% การผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายลดลง 3.9% และ 6.8% เนื่องจากวัตถุดิบราคาสูงขึ้น และมีบางส่วนย้านฐานการผลิตไปต่างประเทศ

ขณะที่ การผลิตรถยนต์ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและการจำหน่าย เพิ่มขึ้น 9.5% และ 9.9% ยังคงขยายตัวอย่างเนื่องจากรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1800 cc. โดยเฉพาะรถยนต์ขนาดเล็ก เนื่องจากประหยัดพลังงาน ประกอบกับมีการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน จากปัจจัยราคาพืชผลทางการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นส่งผลต่อยอดการจำหน่ายรถกะบะขนาด 1 ตัน เพิ่มขึ้น

สำหรับการผลิตเครื่องปรับอากาศ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่าย เพิ่มขึ้น 25.1% และ 24.9% เนื่องจากสาเหตุหลักมาจากภาวะโลกร้อนเป็นผลให้ความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวผู้ประกอบการได้ส่งสินค้ารุ่นใหม่ออกสู่ตลาดให้เป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภคโดยเน้นพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพประหยัดพลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ จึงได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา และยุโรปอย่างต่อเนื่องชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การผลิตและการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 14.4% และ 13.7% ตามลำดับ ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว และมีผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่ตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการมากขึ้น โดยทั้งนี้ ทาง SIA (Semiconductor Industry Association) ได้รายงานยอดขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เดือนมกราคมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 1.5% และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 14% เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการเติบโตอย่างมั่นคงที่มาจากความต้องการในหลากหลายผลิตภัณฑ์ ขณะที่สินค้าที่ใช้อยู่ทุกวันมีความสามารถมากขึ้น เร็วขึ้นและมีราคาถูกลง

ส่วนอาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและการจำหน่ายลดลง 6.8% และ 4.2% ตามลำดับ เนื่องจากอากาศแปรปรวนและน้ำท่วมทำให้มีปริมาณกุ้งน้อยมีกว่าก่อนโดยตลาดส่งออกยังมีความต้องการต่อเนื่อง ในขณะที่สินค้าประเภทปลาทูน่ากระป๋อง และปลาซาร์ดีนกระป๋อง ภาวะการผลิตและการจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 10.7% และ 5.1% เนื่องจากมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างสม่ำเสมอปริมาณปลายังมีมากเพียงพอกับความต้องการ และราคาปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะปลาซาร์ดีนกระป๋องตลาดมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและการส่งออก เป็นผลมาจากผู้ประกอบการได้เพิ่มความหลากหลายของสินค้า

นางสุทธินีย์ สรุปภาพรวม MPI เดือนกุมภาพันธ์ 2554 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ดังนี้ ดัชนีผลผลิต (มูลค่าเพิ่ม) อยู่ที่ระดับ 176.94 ลดลง 3.43% จากระดับ 183.23 ดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 182.85 ลดลง 0.98% จากระดับ 181.08 ดัชนีแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 115.32 ลดลง -1.44% จากระดับ 117.00 ขณะที่ดัชนีผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 151.16 เพิ่มขึ้น 6.38% จากระดับ 142.09 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง 185.58 เพิ่มขึ้น 1.09% จากระดับ 183.58 โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.10%



ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

หุ้นเหล็กเทรดคึกคัก เก็งต้นเดือน เม.ย.“พาณิชย์” ไฟเขียวขึ้นราคา

หุ้นกลุ่มเหล็ก กอดคอบวกยกแผง หลังพากันเทรดคึกคัก โดยโบรกฯ คาดเป็นผลมาจากการเก็ง “พาณิชย์” ปรับขึ้นราคาเหล็กช่วงต้นเดือน เม.ย.ตามต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

วันนี้ (29 มี.ค.) หุ้นกลุ่มเหล็กพากันทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังวอลุ่มเทรดคึกคัก โดยเมื่อเวลา 14.30 น.ที่ผ่านมา หุ้น SSI อยู่ที่ 1.29 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท (+4.88%) มูลค่าซื้อขาย 335.56 ล้านบาท หุ้น TSTH อยู่ที่ 1.58 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท (+2.60%) มูลค่าซื้อขาย 9.56 ล้านบาท หุ้น GSTEEL อยู่ที่ 0.76 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท (+1.33%) มูลค่าซื้อขาย 30.22 ล้านบาท และ หุ้น TYM อยู่ที่ 0.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท (+3.17%) มูลค่าซื้อขาย 50.996 ล้านบาท

ด้าน นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มเหล็กบวกยกแผง ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างคึกคัก คาดว่า จะเป็นผลจากการเก็งในประเด็นกระทรวงพาณิชย์อาจพิจารณาปรับขึ้นราคาขายเหล็กในช่วงต้น เม.ย.นี้ ตามต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ หุ้น บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) มีแนวรับ 1.25, 1.20 บาท แนวต้าน 1.29, 1.31, 1.34 บาท, หุ้น บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) มีแนวรับ 1.54, 1.49 บาท แนวต้าน 1.58, 1.64 บาท, หุ้น บมจ.จี สตีล (GSTEEL) มีแนวรับ 0.76, 0.73 บาท แนวต้าน 0.78, 0.82 บาท ส่วนหุ้น บมจ.ไทยง้วนเมทัล (TYM) มีแนวรับ 0.63, 0.60 บาท แนวต้าน 0.66, 0.70 บาท

อนึ่ง ผู้ประกอบการเหล็กรีดร้อนรายใหญ่ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์ เพื่อขอปรับราคาขายเหล็กจากเพดาน 25.50 บาท/กิโลกรัม เป็น 29.50 บาท/กิโลกรัม หลังต้นทุนการผลิตปรับตัวขึ้น โดยปัจจุบัน ราคาเหล็กรีดร้อนอยู่ที่ 25-26 บาท/กิโลกรัม ซึ่งเกินราคาควบคุม 25.50 บาทแล้ว โดยกระทรวงพาณิชย์ นัดชี้ขาด 1 เม.ย.นี้


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ต่างชาติโอดหุ้นขาดตลาด ตลท.หนุน บจ.เพิ่มหุ้น แบงก์-พลังงาน เนื้อหอม

ต่างชาติโอดหุ้นขาดตลาด ตลท.หนุน บจ.เพิ่มหุ้น แบงก์-พลังงาน เนื้อหอม

ต่างชาติติง!สนใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนไทย แต่ติดปัญหาไม่มีหุ้นให้ซื้อ ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯสบช่อง ชี้เป็นจังหวะดีหนุนบจ.เพิ่มทุนเสริมสภาพคล่อง หลังพบความต้องการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติมีสูง ฝั่งบล.ภัทร แจง ต่างชาติสนในเข้าฟังข้อมูลหุ้นกลุ่มแบงก์มากสุด รองมาคือ พลังงาน จากแนวโน้มกำไรดี ส่วนปัญหาการเมืองกลายเป็นเรื่องพื้นๆ มีคำถามน้อยลง

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการสำรวจความคิดเห็นของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมให้ข้อมูลแก่นักลงทุนต่างประเทศในงานไทยแลนด์โฟกัส พบว่านักลงทุนสถาบันต่างประเทศนั้นให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในบริษัทแต่ขณะนี้ติดปัญหาที่ไม่มีหุ้นที่จะเสนอขาย ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีที่บริษัทจดทะเบียนไทยจะมีการเพิ่มทุน ในการเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (PP) การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่นักลงทุนทั่วไป (PO) ฯลฯ จากที่บริษัททราบว่ามีความต้องการที่จะซื้อหุ้นจากนักลงทุนสถาบัน

ทั้งนี้จากการที่ค่าP/E ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 13-14 เท่า นั้นถือว่าเป็นปัจจัยหนุนที่จะทำให้บจ.ไทยมีการพิจารณาเพิ่มทุนมากขึ้น จากที่จะได้ราคาเสนอขายหุ้นที่ดี และยิ่งดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นจะทำให้บริษัทจดทะเบียนหันมาใช้ตลาดุทนในการระดมทุนมากขึ้นจากมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ จึงทำให้ตลาดหลักทรพัย์ฯคาดว่าปีนี้แนวโน้มบจ.จดทะเบียนปีนี้ คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยในช่วง2-3 เดือนแรกปีนี้บจ.ประกาศระดมทุนแล้วมูลค่า 40,000 ล้านบาท

สำหรับบจ.ที่ราคาหุ้นถูกอยู่จำนวนมาก ปัจจุบันมีหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำกว่า 10 เท่า จำนวน 193 บริษัท คิดเป็น 36% ของบจ.ทั้งหมด โดยบริษัทที่มีค่าP/E ระหว่าง 10-20 เท่า มีจำนวน 182 บริษัท หรือคิดเป็น 34% ของ บจ.ทั้งหมด ซึ่งรวม 2 กลุ่มนั้น คิดเป็น 70% ของบจ.ทั้งหมด ซึ่ง สะท้อนให้เห็นว่ามีบจ.ที่มีราคาที่ต่ำอีกจำนวนมากที่ยังน่าสนใจในการเข้าไปลงทุน

อย่างไรก็ตามส่วนตัวเชื่อว่าการจัดงานไทยแลนด์โฟกัสจะสร้างบรรยากาศที่ดีในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะส่งผลให้มีบริษัทที่จะเข้าเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯคงเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)ของหุ้นใหม่ปีนี้ที่ 1 แสนล้านบาท เนื่องจาก ขณะนี้มีบริษัทที่จะเตรียมเสนอขายหุ้นหลายบริษัทจะมีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ กระจายในหลายอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มพลังงาน กลุ่มอาหาร คือ บริษัทน้ำตาลครบุรี กลุ่มธนาคาร คือ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป ซึ่งจะเพิ่มความน่าสนใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นไอพีโอ

“การจัดงานไทยแลนด์โฟกัสครั้งนี้ได้สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน จากการสื่อสารข้อมูลจากทั้งภาครัฐและเอกชนตลาดทั้ง 3 วัน แสดงถึงความแข็งแกร่งของบจ.ไทย เศรษฐกิจไทยโดรวมที่เติบโตดี ซึ่งมีนักลงทุนจำนวนมากที่แสงดความสนใจชัดแจนในการเข้าลงทุนเมื่อมีโอกาส และจากการที่เศรษฐกิจในอาเซียนในช่วง 4-5 ปีข้างหน้าและจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและส่งผลกระทบกับภูมิภาคอื่น จำทำให้นักลงทุนต่างประเทศมองหาแห่งลงทุนที่มีการแนวโน้มการให้ผลอตบแทนที่ดี ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ในการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนก็จะเป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุน ”นายชนิตร กล่าว

ด้าน นายธีระพงษ์ วชิรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้บรรลุวัตถุประสงค์ในการนำเสนอข้อมูลจากผู้บริหารนโยบายภาครัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่สำคัญที่เน้นถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลก ซึ่งในงานนั้นมีการประชุมย่อยประมาณ 800 ครั้งในงาน ทั้ง one-on-one meeting ระหว่างผู้ลงทุนกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนถึงเกือบ 500 ครั้ง และ group meeting อีกกว่า 300 ครั้ง เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนได้สอบถามข้อมูลโดยตรงจากผู้บริหาร และการพบกับผู้บริหารจำนวนมากในเวลาเดียวกัน

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะมีโอกาสเปรียบเทียบข้อมูล และสามารถเชื่อมโยงถึงโอกาสในการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ผู้ลงทุนได้ให้ความสนใจ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างประเทศสนใจมากที่สุด 4 อันดับ แรก คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ กลุ่มค้าปลีก

นอกจากนี้ การจัดการครั้งนี้นักลงทุนต่างชาติสอบถามเรื่องการเมืองลดน้อยลง น่าจะมีข้อพิสูจน์จากปีที่ผ่านมาแม้จะมีเหตุการณ์รุนแรงในประเทศแต่กำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ยังขยายตัวในระดับสูงถึง 30% และราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ภาพรวมการลงทุนดีขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน จากก่อนหน้านี้ราคาจะอยู่ในระดับต่ำกว่าประมาณ 30%

“การจัดงานไทยแลนด์โฟกัสครั้งนี้ถือว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนต่างประเทศดีกว่าทุกครั้งที่จัดมาสถานการณ์ต่างๆในเมืองไทยดี นักลงทุนกังวลปัจจัยการเมืองน้อยลง ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น กำไรบจ.ปีก่อนโต 30% แม้จะมีปัญหาการเมืองในช่วงต้นปี ”นายธีระพงษ์ กล่าว

ด้าน นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า การให้ข้อมูลวานนี้พบว่า นักลงทุนต่างชาติยังสนใจลงทุนในประเทศในภูมิภาคเอเชียและไทย ซึ่งคาดว่าใน 4-5 ปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้นจากปัจจุบันอีก 40-50% ขณะเดียวกันในเร็วๆนี้ภาครัฐจะมีมาตรการออกมาช่วยอไนวยความสะดวกต่อการลงทุนในไทยของนักลงทุนต่างชาติ นอกเหนือจากการลดภาษีด้วย รวมถึงการเพิ่มทำการวิจัยในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมางบดังกล่าวใช้เพียง0.2-0.3%ของจีดีพี แต่ความจริงน่าจะเพิ่มเป็ฯ1%ของจีดีพีเพื่อช่วยพัฒนาอุตสาหกรรม


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

หุ้นไทยพุ่ง 8 จุด แรงหนุน "Thailand Focus" กระตุ้นเชื่อมั่นนักลงทุน

หุ้นไทยพุ่ง 8 จุด แรงหนุน "Thailand Focus" กระตุ้นเชื่อมั่นนักลงทุน

หุ้นไทยปิดเพิ่มขึ้น 8 จุด หลังได้รับการตอบรับดีจากกองทุนใน-นอกประเทศ ในงาน "Thailand Focus" ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจ แม้ยังมีปัญหาญี่ปุ่นและสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางให้ติดตาม คาดบ่ายนี้อาจมีแรงขายทำกำไรบ้าง แต่เชื่อยังยืนบวกได้อยู่ ให้แนวรับ 1,039 แนวต้าน 1,050-1,055 จุด

วันนี้ (30 มี.ค.) ปิดตลาดหลักทรัพย์ไทยดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,045.22 จุด เพิ่มขึ้น 8.86 จุด (+0.85%) มูลค่าการซื้อขาย 16,380.76 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นแนวเดียวกับตลาดภูมิภาค โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากกองทุนใน-ตปท.จากงาน Thailand Focus ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น ส่วนปัญหาในญี่ปุ่น-สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด บ่ายนี้ตลาดฯอาจมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่เชื่อยังยืนในแดนบวกได้ พร้อมให้แนวรับ 1,039 แนวต้าน 1,050-1,055 จุด

สำหรับบรรยากาศการซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 1,045.99 จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 1,041.49 จุด ซึ่งหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,510.55 ล้านบาท ปิดที่ 172.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,314.13 ล้านบาท ปิดที่ 107.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 597.04 ล้านบาท ปิดที่ 128.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท TRUE มูลค่าการซื้อขาย 563.89 ล้านบาท ปิดที่ 5.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท และ JAS มูลค่าการซื้อขาย 503.66 ล้านบาท ปิดที่ 2.84 บาท ลดลง 0.02 บาท

ด้าน นายอรรถพร อารยะสันติภาพ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยได้รับการตอบรับที่ดีจากบรรดากองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากงาน Thailand Focus ซึ่งทำให้เห็นได้ว่ารัฐฯได้มีการช่วยบรรเทาปัญหาเงินเฟ้อให้กับประชาชนได้ ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น

นอกจากนี้ จากเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ก็ทำให้มีหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้มี Sentiment ที่ดีด้วย อย่างหุ้น DCC เป็นต้น

ด้าน น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากโมเมนตัมที่เป็นบวก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก โดยคาดว่าจะได้รับแรงซื้อจากต่างชาติอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาน้ำมันยังขยับตัวขึ้น และดาวโจนส์ก็ยังปรับตัวขึ้นด้วย สำหรับปัญหาในญี่ปุ่น และสถานการณ์ในตะวันออกกลางก็คงจะต้องติดตามดูต่อไป

ขณะที่ แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ น.ส.ธีรดา กล่าวว่า ช่วงบ่ายตลาดฯอาจะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง แต่เชื่อว่าตลาดฯยังยืนในแดนบวกได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนนายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดฯคงจะยืนในแดนบวกได้ จากการทำ Window dressing พร้อมให้แนวรับ 1,039 จุด แนวต้าน 1,050-1,055 จุด


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์