วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

SVI เตรียมนำหุ้นจ่ายปันผล-ซื้อคืน

SVI เตรียมนำหุ้นจ่ายปันผล-ซื้อคืน

เอสวีไอ เตรียมเสนอบอร์ดพิจารณาจ่ายหุ้นปันผล-ซื้อหุ้นคืน ก.พ.นี้ พร้อมปรับลดเป้าราย
       ได้ปีนี้เหลือ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมคาด 270 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังผลกระทบวิกฤตหนี้ยุโรป คาดปีหน้ารายได้โต 20% จากปีนี้ จากได้ลูกค้าใหม่ 5 ราย
      
       นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI เปิดเผยว่า บริษัทจะมีการเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) พิจารณาในการจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้น และอนุมัติในการเข้าซื้อหุ้นคืน ในการประชุมบอร์ดในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เนื่องจากฝ่ายบริหารมองว่าการจ่ายหุ้นปันผลนั้นจะช่วยทำให้บริษัทมีปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น ส่วนการซื้อหุ้นคืนนั้น หลังจากที่บริษัทได้ซื้อหุ้นคืนเสร็จไปแล้วในเดือนกันยายน 2555 โดยซื้อหุ้นคืน 100 ล้านบาท หรือ 30 ล้านหุ้น เพราะมองว่าราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ดี และมองว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทมีการเติบโตอีกมาก
      
       “บริษัทได้ล้างผลขาดทุนสะสมหมดแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีกำไรสะสมอยู่ที่ 100 ล้านบาท ซึ่งทางฝ่ายบริหารมองว่า หากมีการจ่ายเป็นเงินปันผลได้เพียง 0.05 บาทต่อหุ้น ถือว่าน้อย จึงมองว่าหากมีการจ่ายเป็นหุ้นปันผลน่าจะดีกว่า เพราะทำให้ฟรีโลทหุ้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้น และบริษัทมีเงินไปขยายการลงทุน ซึ่งจะเสนอบอร์ดพิจารณาเดือน ก.พ. หลังจากนั้นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นในเดือน เม.ย.ปีหน้า” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
      
       ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิมที่ 270 ล้านเหรียญสหรัฐก่อนที่วิกฤตยุโรปจะรุนแรงขึ้น ทำให้ยอดขายของบริษัทมีการปรับตัวลดลง แต่ในปี 2556 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% จากปีนี้ เนื่องจาก ริษัทได้ลูกค้าใหม่ 5 ราย ในชิ้นส่วนเกี่ยวกับอุปกรณ์สื่อสารที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง (กรอสมาร์จิ้น) ซึ่งบริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิ (เน็ตมาร์จิ้น) ปีหน้าอยู่ที่ 9% ขณะที่กำลังการผลิตของบริษัทปีหน้าคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 100% ได้ในไตรมาส 2 และ 3 จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิต 80%
      
       สำหรับเดือนธันวาคมนี้ บริษัทคาดว่าจะชำระหนี้อีก 200 ล้านบาท ทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีหนี้อยู่ 500 ล้านบาท เพราะต้องคุม D/E อยู่ 1.5 -2 เท่า ซึ่งหากบริษัทใช้หนี้ดังกล่าวครบแล้วจะทำให้บริษัทมีเงินเหลือก็จะสามารถนำไปใช้ในการลงทุน หรือไปซื้อกิจการได้หากบริษัทมีความพร้อม เพราะราคาสินทรัพย์ในยุโรปนั้นไม่เปลี่ยนจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปยังไม่สามารถแก้ไขได้
      
       นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ปี 56 บริษัทจะใช้เงินลงทุน 300-350 ล้านบาท ซึ่ง 50% จะใช้ลงทุนโรงงานแห่งที่ 2 ที่นิคมอุตสาหกรรมบางกะดีที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมในปีก่อน รวมถึงใช้ลงทุนเพื่อเพิ่มยอดขาย ขณะที่มีแผนว่าหากยอดขายเติบโตต่อเนื่องจะมีการปรับปรุงโรงงานผลิตแห่งที่ 5 ต่อไป
      
       สำหรับวงเงินชดเชยจากประกันเหตุการณ์น้ำท่วมในปีที่ผ่านมา น่าจะได้รับเงินครบทั้งหมดภายในไตรมาส 1/56 จากปัจจุบัน บริษัทได้ทยอยรับแล้ว 600 ล้านบาท จากวงเงินประกันรวม 2 พันกว่าล้านบาท ซึ่งไม่รวมค่าสูญเสียโอกาสการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม หลังเกิดน้ำท่วมทำให้การทำประกันภัยบริษัทต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านบาท เป็น 30 ล้านบาท โดยที่ทุนประกันน้อยลง และไม่รับประกันภัยจากน้ำท่วมด้วย

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์