วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แนะจับตาเม็ดเงินเข้าไทย-อินโดฯ ต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯ-จีน ได้ผู้นำ

แนะจับตาเม็ดเงินเข้าไทย-อินโดฯ ต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯ-จีน ได้ผู้นำ

เม็ดเงินต่างประเทศยังไหลเข้าอาเซียนต่อ...ผ่านไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์...หลัง “โอบามา” ชนะการเลือกตั้ง และการเปลี่ยนผู้นำของจีนเกิดขึ้น ภาพรวมการเติบโตในภูมิภาคนี้ยังสูงกว่าทั้งสหรัฐฯ และยุโรป มอง Fiscal Cliff แค่ปัจจัยกดดันในช่วงระยะหนึ่ง ส่วนจีนแม้มีนายใหม่ แต่นโยบายยังเป็นรูปแบบเดิม แต่ระยะยาวค่าเงินหยวนจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นฉุดดอลลาร์สหรัฐ และทองคำอ่อนตัว
ความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกมีผลต่อตลาดหุ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ข้อยุติ ความกังวลต่อนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็เข้ามาสร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนในทันทีทันใด อีกทั้งเพียงไม่กี่วันต่อมา ก็เกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่ในจีนขึ้น ตลาดหุ้นไทยหนีไม่พ้นจะได้รับผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย ดัชนีหลักทรัพย์ยังยากที่จะยืนเหนือ 1,300 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะปรับตัวขึ้นไปอยู่เหนือแนวต้านดังกล่าวได้ แต่ก็ไม่สามารถยืน หรือสร้างฐานที่มั่นคงได้นาน เห็นได้จากช่วงวันที่ 6 พ.ย. ดัชนีปิดที่ 1,300.84 จุด และในวันที่ 9 พ.ย.ก็ลดลงมาอยู่ 1,290.83 จุด ในรูปแบบการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ได้นำเสนอรายงานในเรื่องเหตุการณ์สำคัญ 2 เรื่อง เกิดขึ้นภายในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าเหตุการณ์สำคัญหลังจากนายบารัค โอบามา กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย จะเริ่มตั้งแต่การเป็นสุญญากาศทางการเมือง 6 พ.ย.55-3 ม.ค.56 หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะชนเพดานในช่วง พ.ย.-ธ.ค. ด้านมาตรการลดหย่อนภาษีจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ ต่อมา 2 ม.ค.56 สำนักงบประมาณจะปรับลดงบประมาณภาครัฐ 8.6 หมื่นล้านเหรียญ และ 20 ม.ค. บารัค โอบามา จะเริ่มรับตำแหน่งอีกครั้ง แต่ตลอด ก.พ.-มี.ค.2556 สหรัฐฯ จะไม่สามารถก่อหนี้ได้

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เชื่อว่า ภาพรวมเม็ดเงินยังไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชีย และตาดหุ้นไทยต่อไป เพราะสหรัฐฯ ยังมีการฟื้นฟูที่เล็กน้อย อีกทั้งตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงสนับสนุนจากสถานการณ์คลังของรัฐบาลไทยที่ยังคงสามารถออกมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยในภาพรวมหลังจากนี้ ซึ่งเป็นช่วงสุญญากาศทางการเมืองของสหรัฐฯ ประเมินว่า หุ้นไทยกำลังอ่อนตัวลง และเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนโดยเฉพาะในหุ้นที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐ เช่น รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์

แต่สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดคือ หน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) หรือมาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่า 6 แสนล้านเหรียญที่จะครบกำหนดสิ้นปีนี้ เพราะหากไม่มีการต่ออายุจะทำให้จีดีพีของสหรัฐฯ ในปี 2556 ลดลงถึงขั้นถดถอย รวมถึงมาตรการลดสวัสดิการแก่ผู้ว่างงานที่จะหมดอายุในปี 2556 อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าท้ายที่สุดสภาครองเกสจะยอมต่ออายุมาตรการออกไป

ส่วนการเปลี่ยนผู้นำจีนในรอบ 10 ปี สิ่งที่ต้องจับตา คือ การปรับโครงสร้าง และกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะการเปลี่ยนแปลงผู้นำจีนในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ และเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก โดยผู้นำคนใหม่ของจีนได้ถูกคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า นายสี จิ้น ผิง จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แทน นายหู จิ่นเทา ส่วน นายหลี่ เค่อ เฉียง จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนนายเหวิน เจีย เปา โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการในเดือน มี.ค.2013 ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจจีนถูกกำหนดมาจากรัฐบาลกลางนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์

“เราประเมินว่า ผู้นำใหม่ของจีนจะดำเนินนโยบายตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจเดิม คือ เน้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ มากกว่าเน้นการเติบโต โดยการปรับโครงสร้างที่สำคัญ คือ การเพิ่มการบริโภคในประเทศ ลดการพึ่งพาการส่งออก และ การลงทุน ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นนั้น เราเชื่อว่าไม่มี เนื่องจาก จีนได้มีการผ่อนคลายนโยบายด้านการเงินไปพอสมควรแล้ว ในขณะที่มาตรการคุมเข้มความร้อนแรงของอสังหาริมทรัพย์ยังคงจำเป็นต้องดำเนินต่อไป ส่วนปัจจัยที่คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 7% คือ การลงทุนในระบบขนส่งมวลชน ซึ่งทางการจีนได้มีการประกาศออกมาแล้วว่า จะลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าประมาณ 10-15 สายต่อปี”

ดังนั้น นัยต่อการลงทุนสำหรับตลาดหุ้นเอเชีย คาดว่า นักลงทุนอาจผิดหวังหากคาดว่าผู้นำใหม่ของจีนจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2008 ดังนั้น คาดว่า เงินทุนต่างชาติจะยังคงเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นแถบอาเซียน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ต่อไป จนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของจีนอย่างแท้จริงจึงจะมีการย้ายเม็ดเงินลงทุนไปในตลาดหุ้นแถบเอเชียเหนือแทน

ส่วนค่าเงินเอเชีย นโยบายเกี่ยวกับการบริหารจัดการค่าเงินหยวนจะยังคงดำเนินต่อไปไม่แตกต่างจากเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะยาว แนวโน้มดังกล่าวคาดว่าจะกระทบต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าตามไปในระยะยาวด้วย ปัจจัยอีกประการคือ บทบาทของเงินหยวนในตลาดการเงินโลก ซึ่งเราคาดว่าจะเพิ่มบทบาทมากขึ้นทั้งในด้านการค้า และการลงทุน **และการที่ค่าเงินหยวนมีบทบาทมากขึ้นนั้นจะส่งผลกระทบให้ความน่าสนใจของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และทองคำลดลงในระยะยาว**
ที่มา
ผู้จัดการรายวัน