แนะจับตาเม็ดเงินเข้าไทย-อินโดฯ ต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯ-จีน ได้ผู้นำ
เม็ดเงินต่างประเทศยังไหลเข้าอาเซียนต่อ...ผ่านไทย อินโดนีเซีย
ฟิลิปปินส์...หลัง “โอบามา” ชนะการเลือกตั้ง และการเปลี่ยนผู้นำของจีนเกิดขึ้น
ภาพรวมการเติบโตในภูมิภาคนี้ยังสูงกว่าทั้งสหรัฐฯ และยุโรป มอง Fiscal Cliff
แค่ปัจจัยกดดันในช่วงระยะหนึ่ง ส่วนจีนแม้มีนายใหม่ แต่นโยบายยังเป็นรูปแบบเดิม
แต่ระยะยาวค่าเงินหยวนจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นฉุดดอลลาร์สหรัฐ
และทองคำอ่อนตัว
ความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกมีผลต่อตลาดหุ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ข้อยุติ
ความกังวลต่อนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ก็เข้ามาสร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนในทันทีทันใด อีกทั้งเพียงไม่กี่วันต่อมา
ก็เกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่ในจีนขึ้น
ตลาดหุ้นไทยหนีไม่พ้นจะได้รับผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย
ดัชนีหลักทรัพย์ยังยากที่จะยืนเหนือ 1,300 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง
แม้จะปรับตัวขึ้นไปอยู่เหนือแนวต้านดังกล่าวได้ แต่ก็ไม่สามารถยืน
หรือสร้างฐานที่มั่นคงได้นาน เห็นได้จากช่วงวันที่ 6 พ.ย. ดัชนีปิดที่ 1,300.84 จุด
และในวันที่ 9 พ.ย.ก็ลดลงมาอยู่ 1,290.83 จุด
ในรูปแบบการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์
กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ได้นำเสนอรายงานในเรื่องเหตุการณ์สำคัญ 2 เรื่อง
เกิดขึ้นภายในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ว่าเหตุการณ์สำคัญหลังจากนายบารัค โอบามา กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย
จะเริ่มตั้งแต่การเป็นสุญญากาศทางการเมือง 6 พ.ย.55-3 ม.ค.56 หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ
จะชนเพดานในช่วง พ.ย.-ธ.ค. ด้านมาตรการลดหย่อนภาษีจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.นี้
ต่อมา 2 ม.ค.56 สำนักงบประมาณจะปรับลดงบประมาณภาครัฐ 8.6 หมื่นล้านเหรียญ และ 20
ม.ค. บารัค โอบามา จะเริ่มรับตำแหน่งอีกครั้ง แต่ตลอด ก.พ.-มี.ค.2556 สหรัฐฯ
จะไม่สามารถก่อหนี้ได้
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เชื่อว่า
ภาพรวมเม็ดเงินยังไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชีย และตาดหุ้นไทยต่อไป เพราะสหรัฐฯ
ยังมีการฟื้นฟูที่เล็กน้อย
อีกทั้งตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงสนับสนุนจากสถานการณ์คลังของรัฐบาลไทยที่ยังคงสามารถออกมากระตุ้นเศรษฐกิจได้
โดยในภาพรวมหลังจากนี้ ซึ่งเป็นช่วงสุญญากาศทางการเมืองของสหรัฐฯ ประเมินว่า
หุ้นไทยกำลังอ่อนตัวลง
และเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนโดยเฉพาะในหุ้นที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐ
เช่น รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง
และอสังหาริมทรัพย์
แต่สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดคือ
หน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) หรือมาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่า 6
แสนล้านเหรียญที่จะครบกำหนดสิ้นปีนี้
เพราะหากไม่มีการต่ออายุจะทำให้จีดีพีของสหรัฐฯ ในปี 2556 ลดลงถึงขั้นถดถอย
รวมถึงมาตรการลดสวัสดิการแก่ผู้ว่างงานที่จะหมดอายุในปี 2556 อย่างไรก็ตาม
ประเมินว่าท้ายที่สุดสภาครองเกสจะยอมต่ออายุมาตรการออกไป
ส่วนการเปลี่ยนผู้นำจีนในรอบ
10 ปี สิ่งที่ต้องจับตา คือ การปรับโครงสร้าง และกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพราะการเปลี่ยนแปลงผู้นำจีนในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ
และเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก
โดยผู้นำคนใหม่ของจีนได้ถูกคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า นายสี จิ้น ผิง
จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แทน นายหู จิ่นเทา ส่วน นายหลี่ เค่อ
เฉียง จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนนายเหวิน เจีย เปา
โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการในเดือน มี.ค.2013
ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนอย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจจีนถูกกำหนดมาจากรัฐบาลกลางนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์
“เราประเมินว่า
ผู้นำใหม่ของจีนจะดำเนินนโยบายตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจเดิม คือ
เน้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ มากกว่าเน้นการเติบโต
โดยการปรับโครงสร้างที่สำคัญ คือ การเพิ่มการบริโภคในประเทศ ลดการพึ่งพาการส่งออก
และ การลงทุน ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นนั้น เราเชื่อว่าไม่มี เนื่องจาก
จีนได้มีการผ่อนคลายนโยบายด้านการเงินไปพอสมควรแล้ว
ในขณะที่มาตรการคุมเข้มความร้อนแรงของอสังหาริมทรัพย์ยังคงจำเป็นต้องดำเนินต่อไป
ส่วนปัจจัยที่คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 7% คือ
การลงทุนในระบบขนส่งมวลชน ซึ่งทางการจีนได้มีการประกาศออกมาแล้วว่า
จะลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าประมาณ 10-15 สายต่อปี”
ดังนั้น
นัยต่อการลงทุนสำหรับตลาดหุ้นเอเชีย คาดว่า
นักลงทุนอาจผิดหวังหากคาดว่าผู้นำใหม่ของจีนจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี
2008 ดังนั้น คาดว่า เงินทุนต่างชาติจะยังคงเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นแถบอาเซียน
ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ต่อไป
จนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของจีนอย่างแท้จริงจึงจะมีการย้ายเม็ดเงินลงทุนไปในตลาดหุ้นแถบเอเชียเหนือแทน
ส่วนค่าเงินเอเชีย
นโยบายเกี่ยวกับการบริหารจัดการค่าเงินหยวนจะยังคงดำเนินต่อไปไม่แตกต่างจากเดิม
ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะยาว
แนวโน้มดังกล่าวคาดว่าจะกระทบต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าตามไปในระยะยาวด้วย
ปัจจัยอีกประการคือ บทบาทของเงินหยวนในตลาดการเงินโลก
ซึ่งเราคาดว่าจะเพิ่มบทบาทมากขึ้นทั้งในด้านการค้า และการลงทุน
**และการที่ค่าเงินหยวนมีบทบาทมากขึ้นนั้นจะส่งผลกระทบให้ความน่าสนใจของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
และทองคำลดลงในระยะยาว**
ที่มา
ผู้จัดการรายวัน