วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กองหุ้นรับอานิสงส์ดัชนีทะยาน บลจ.โชว์ผลตอบแทนบวกถ้วนหน้า

กองหุ้นรับอานิสงส์ดัชนีทะยาน บลจ.โชว์ผลตอบแทนบวกถ้วนหน้า

กองทุนหุ้นตีปีก รับอานิสงส์ดัชนีหุ้นทะยาย "แอสเซทพลัส" โชว์ผลงาน ปิดกองทุนก่อนกำหนด หลังผลตอบแทนเข้าเป้า 10% เพียง 4 เดือน ด้าน "วรรณ" อวดผลตอบแทน 2 กองหุ้น ขึ้นแท่นผู้นำ 2 อันดับแรก

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 3.5% มาซื้อขายที่ระดับประมาณ 890 จุด จากเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียที่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยุโรป ประกอบกับการคาดการณ์แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งการปรับตัวของดัชนีตลาด

หลักทรัพย์ช่วงนี้ได้ส่งผลดีให้กับกองทุนหุ้นกลุ่ม SMART ของบริษัท

โดยเฉพาะ กองทุนแอสเซทพลัสสมาร์ท 4 (ASP-SMART4) ที่สามารถปิดกองทุนในวันที่ 19 ส.ค. 53 จากการสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย 10% ของเงินลงทุนเริ่มแรก คือ มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ผ่านจุด 11.00 บาท

ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน นับจากจัดตั้งกองทุนเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมานอกจากนี้ กองทุนกลุ่ม SMART อีก 4 กองทุนที่เหลือ ได้แก่ ASP-SMART, ASP-SMART 2, ASP-SMART 3 และ ASP-SMART5 ยังสามารถจ่ายคืนผลตอบแทนได้อีก กองทุนละ 0.50 บาท ต่อหน่วย อีกด้วย

ทั้งนี้ แนวโน้มการปรับตัวของ SET Index ที่ปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปีในอัตราที่สูงกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค คาดว่าตลาดอาจมีการปรับฐานจากการขายทำกำไรในช่วงสั้นๆ บ้าง ในขณะที่มุมมองระยะยาวของตลาดหุ้นยังอยู่ในเชิงบวก บริษัทฯ จึงเปิดเสนอขาย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสมาร์ท 6 (ASP-SMART 6) โดยจะเสนอขายครั้งเดียวถึงวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เพื่อรอจังหวะทยอยเข้าลงทุนเมื่อระดับราคาของหุ้นเป้าหมายปรับตัวลงถึงระดับที่น่าสนใจ

โดยกองทุน ASP-SMART 6 เป็นกองทุนผสมที่มีอายุโครงการ 1 ปี มีเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนสุทธิที่ระดับ 10% และปิดกองทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนผ่านระดับ 11.00 บาท หรือเมื่อครบอายุกองทุน 1 ปี แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดก่อน โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ และหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งนี้ ทีมผู้จัดการกองทุนจะมีการใช้ SET50 FUTURES ที่สะท้อนการปรับตัวของหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มผันผวนสูงได้

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงนี้ ได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ดีเกินคาด ประกอบกับสภาพคล่องในระบบยังมีอยู่สูงมาก ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดเอเชียรวมถึงตลาดไทย

นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมของเอเชียยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากการที่กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ฯและธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/53 จะยังขยายตัวในระดับที่สูงมากกว่า 5% ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลดีต่อกองทุนเปิดวรรณพลัส (ONE+1)และกองทุนเปิดเอกทวีคูณ (ONE-G) ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2553 กองทุนทั้งสองให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 18.99% และ 18.97% เทียบกับดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ 12.61% และในระยะเวลา 6 เดือน ทั้งสองกองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 36.60% เทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (Benchmark) ที่ 28.40% ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นอันดับ 1 และ 2 ของบรรดากองทุนตราสารหุ้นภายในประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนกองทุนเปิดวรรณพลัส และกองทุนเปิดเอกทวีคูณ ในช่วงที่ผ่านมานั้น ทางทีมผู้จัดการกองทุน มีการบริหารจัดการแบบ Active Management ซึ่งประเมิน Risk-Return ของหุ้นเป็นรายตัวอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ เพื่อใช้ในการคัดเลือกหุ้นเข้าและออกจากพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนมีการทำ company visit หุ้นใน Radar Screen อย่างใกล้ชิด เพื่อคอยหา Investment Idea ใหม่หรือหุ้นที่มีอนาคตที่ดีโดยที่ตลาดยังไม่รับรู้

นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนมีการ กระจายความเสี่ยงการลงทุนอย่างเหมาะสมในหุ้นแต่ละอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีฯ ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนค่อนข้างมาก และ การที่ผู้จัดการกองทุนมีความพยายามในการทำการบ้านเพื่อหาหุ้นที่ดี และจับจังหวะการลงทุนที่ถูกต้อง คัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต และปรับหุ้นบางตัวออกจากพอร์ตในเวลาที่รวดเร็วและเหมาะสม จะเป็นแรงสำคัญที่ทำให้กองทุนกองทุนทั้งสองสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้อย่างดีอีกด้วย



ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์