วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อนาคตทองคำราคาปรับขึ้นอีกสิ้นปี!?


อนาคตทองคำราคาปรับขึ้นอีกสิ้นปี!?

จากเศรษฐกิจในยุโรปที่ยังคงกดดันความเชื่อมั่นอยู่ในขณะนี้ นักวิเคราะห์หลายฝ่ายยังคงมองว่า ความต้องการซื้อทองคำมีมากขึ้น เพื่อป้องกันการลดค่าของสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่น ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผลตอบแทนของการลงทุนทองคำและกองทุนทองคำอยู่ที่ 9% และมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อในครึ่งปีหลัง จึงสามารถลงทุนติดไว้ในพอร์ตประมาณ 5 -10%

วรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. บัวหลวง จำกัด บอกว่า ราคาทองคำในระยะสั้น ยังมีแนวโน้มอ่อนตัวได้อีกเนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ได้แก่

1. Investment demand ลดลงไป เนื่องจากความกังวลต่อเสถียรภาพค่าเงินยูโรลดลง รวมถึงเงินเฟ้อยังไม่ใช่ประเด็นในปีนี้เนื่องจากทั้งยุโรปและสหรัฐยังมีเงินเฟ้อในระดับต่ำมาก ขณะที่นักลงทุนโยกเงินเข้าสู่ risky assets เช่นหุ้น มากขึ้น เพราะผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาดี และเศรษฐกิจยุโรปยังมีการฟื้นตัวแม้จะเป็นไปอย่างช้าๆ

2. Physical demand ลดลง (ความต้องการทองคำไปเป็นเครื่องประดับหรือไปผลิตเป็นส่วนประกอบสินค้าอื่นๆ) เพราะเป็นช่วง Low season ของทุกปี โดยเฉพาะความต้องการทองคำจากอินเดียซึ่งมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของ Physical demand ทั้งหมด

และ 3. การที่ราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือระดับ $1,200/oz. ซึ่งเป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญได้ ยิ่งทำให้เกิดแรงขายจากนักเก็งกำไรมากยิ่งขึ้น

นายกสมาคม บลจ. บอกต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ ไตรมาส 4 ปีนี้ ราคาทองคำน่าจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอีกครั้ง เนื่องจาก มีเทศกาลต้องการทองคำที่อินเดียจะเริ่มขึ้นในไตรมาส 4 จึงจะมีความต้องการทองคำ (Physical demand) เพิ่มตามมา รวมถึงการฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐที่เปราะบางยังคงเป็นความเสี่ยงที่ช่วยให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาบ้าง แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้มากเหมือนกับในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และผลการสำรวจความต้องการลงทุนในทองคำล่าสุดของบริษัท Ipsos พบว่านักลงทุนในเอเชียมีแนว โน้มที่จะซื้อทองคำเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้ามากกว่านักลงทุนจากทางฝั่งยุโรปและอเมริกาเหนือ

โดยมีความต้องการที่จะถือทองคำเพื่อลงทุนและเพื่อเก็งกำไรในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ซึ่งความต้องการทองคำจากทวีปเอเชียจะมาจาก อินเดีย อินโดนีเซีย และ จีน เป็นหลัก เนื่องจากจะมีเทศกาลสำคัญๆ ที่จะเพิ่มความต้องการทองคำจำนวนมากในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังมีเพียง 10% ของกลุ่มสำรวจที่ได้ซื้อทองคำแล้วในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จึงยังมีโอกาสอีกมากที่พวกเขาจะลงทุนในทองคำ โดยเฉพาะเมื่อราคาทองคำในปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาสูงสุดในอดีตที่ได้ปรับอัตราเงินเฟ้อแล้วซึ่งจะอยู่ที่ระดับ $2,300/oz.

สำหรับในปีหน้า คาดว่าปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปน่าจะยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการที่ Ben Bernanke ได้ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังอยู่ในภาวะไม่แน่ไม่นอน แสดงว่าความเสี่ยงเหล่านี้ยังคงไม่ได้หายไปอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลต้องใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อ ดังนั้น ความต้องการทองคำเพื่อการลงทุน (Investment demand) ในอนาคตก็ยังคงมีอยู่ จึงคาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำว่าจะยังคงเป็นขาขึ้นต่อในระยะยาว อย่างไรก็ตามจึงอยากให้นักลงทุนมีการกระจายการลงทุนไปในทองคำบ้าง จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุนโดยรวมของพอร์ตการลงทุน

ด้าน วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี(ไทย) จำกัด ยังแนะนำนักลงทุนว่า นักลงทุนควรทยอยลงทุนในทองคำและควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุนของตัวเอง นอกจากจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแล้ว ยังสามารถใช้เป็นสินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่ดี และสามารถใช้กระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในหุ้นได้ดีเพราะมีความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้นค่อนข้างต่ำ การลงทุนในทองคำจึงตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกันมองว่าระดับราคาทอง ณ ปัจจุบันยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อีก แม้ราคาในปัจจุบันได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนนักลงทุนลังเลที่จะเข้าลงทุน แต่ทางบริษัทและนักวิเคราะห์หลายๆ แห่งมองว่าราคาทองคำยังไม่แพงเกินไปและมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยหลายๆ ปัจจัย เช่น ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศกลับมาถือทองคำมากขึ้น กระแสเงินลงทุนจากกองทุน Gold ETF ต่างๆ (ETF Inflows)ที่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง แต่ซัพพลายมีจำกัดและมีต้นทุนการผลิตสูง รวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯและประเทศพัฒนาแล้ว

"คาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยในปีนี้ว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,300 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ดอยช์แบงก์ คาดการณ์ว่าราคาทองเมื่อจบไตรมาสที่ 3 จะอยู่ที่ 1,275 เหรียญสหรัฐ และจบสิ้นปีอยู่ที่ 1,400 เหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1,245 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าราคาเฉลี่ยในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1,450 เหรียญสหรัฐ"

ขณะที่ กิดาการ สุวรรณธรรมา ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจอนุพันธ์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า การที่รัฐบาลประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรปอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงที่ผ่านมาประกอบกับเศรษฐกิจเอเชียที่ฟื้นตัวมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลให้ยังมีความต้องการทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อ (Inflation Hedge) และยังคงความเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย (Safe Haven)

"เราคาดว่าในปีนี้ราคาทองคำน่าจะมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 1,250-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เทียบเท่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์สที่บริเวณ 18,700-19,500 บาท และเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส4 โดยเป็นการปรับขึ้นเทียบจากสิ้นปี 2552 ราว 18%นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากการเข้าสะสมทองคำหรือถือสถานะ Long โกลด์ฟิวเจอร์ส ในจังหวะอ่อนค่าหรือพักฐานที่มีโอกาสลงไปทดสอบบริเวณ 1,100-1,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เทียบเท่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์ส ที่บริเวณ 16,500-17,200 บาท"

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์