วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ได้ฤกษ์เปิดจองกองอสังหาฯ เทสโก้ 26-28 พ.ย.นี้



บลจ.กรุงไทยเปิดจองหน่วยลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท (TLGF) เปิดจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุน 26-28 พฤศจิกายน 2555 ย้ำผลตอบแทนที่ดีหลังเพิ่มทุน
      
       นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่ ก.ล.ต.ได้อนุมัติการเพิ่มทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท (TLGF) ทางกองทุน TLGF จะดำเนินการเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ ซึ่งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมครั้งนี้จะทำให้กองทุนรวมฯ มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยทาง TLGF จะออกหน่วยลงทุนใหม่ไม่เกิน 650 ล้านหน่วย เพื่อระดมทุนไม่เกิน 7,545 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปลงทุนในศูนย์การค้าคุณภาพสูงของเทสโก้ โลตัส เพิ่มอีก 5 แห่ง ทั้งนี้กองทุนรวมฯ จะมีอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น 22 แห่งหลังจากการเพิ่มทุน และจะทำให้ TLGF เป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยราคาประเมิน อยู่ที่ 23,650 ล้านบาท
      
       ทั้งนี้ ทาง TLGF จะเสนอขายหน่วยลงทุนใหม่ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนปัจจุบันตามสัดส่วนการถือหน่วยลงทุน โดยผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีสิทธิในการจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนสามารถจองซื้อได้ในเวลาทำการระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2555 และตั้งแต่เปิดทำการจนกระทั่งเวลา 12.00 น. ของวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 ได้ที่สำนักงานของ KTAM และสำนักงานใหญ่และทุกสาขาทั่วประเทศของธนาคารกรุงไทย และ CIMBT
      
       โดยผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีสิทธิในการจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่จะต้องมีชื่อในสมุดจดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุนภายในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนปัจจุบันสามารถจองซื้อเกินสิทธิได้ ส่วนเทสโก้ โลตัส ซึ่งเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนรายใหญ่ที่สุดจะจองซื้อหน่วยลงทุนที่ออกใหม่ตามสิทธิเพื่อรักษาสัดส่วนการถือหน่วยลงทุนร้อยละ 25
      
       นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนอสังหาริมทรัพย์มีนักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้นเพราะผลตอบแทนที่ดี ในส่วนของกองทุน TLGF ให้ผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอจากรายได้บริษัทและยังมีการเติบโตที่ชัดเจนเทียบกับอสังหาริมทรัพย์อย่างพวกโรงแรมที่มีรายได้ที่ผันผวนกว่า
ที่มา
http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141280

ยอดจองซื้อ “บัวหลวง Small–Mid Cap RMF” ล้น

ยอดจองซื้อ “บัวหลวง Small–Mid Cap RMF” ล้น

 บลจ.บัวหลวงปลื้มยอดจองซื้อกองทุน บัวหลวง Small–Mid Cap RMF เต็มจำนวน 500 ล้านบาทของมูลค่าโครงการ มั่นใจตอบโจทย์การลงทุนระยะยาวและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างลงตัว
      
       รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า หลังจาก บลจ.ได้เสนอขาย IPO กองทุนเปิดบัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ B-SM-RMF ระหว่างวันที่ 12 ถึง 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น ได้รับความสนใจและการตอบรับจากผู้ลงทุนเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้มียอดจองเข้ามาเต็มจำนวน 500 ล้านบาทของมูลค่าเงินลงทุนตามโครงการเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากฐานลูกค้าของธนาคารกรุงเทพ และกลุ่มผู้ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่สนใจกระจายการลงทุนในกองทุน RMF ประเภทกองทุนหุ้นมายังกลุ่มบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งเป็นจุดเด่นของกองทุนที่แตกต่างจากกองทุน RMF อี่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยสามารถลงทุนระยะยาวประมาณ 3-5 ปีขึ้นไปได้
      
       ทั้งนี้ หุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางที่กองทุนบัวหลวงจะพิจารณาลงทุนจะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) ไม่เกิน 20,000 ล้านบาท ณ วันที่ลงทุน มีฐานะมั่นคง มีศักยภาพและแนวโน้มการเติบโตดี และทีมจัดการกองทุนเห็นว่ามีมูลค่าต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม ที่สำคัญคือ ต้องผ่านเกณฑ์เรื่องการกำกับกิจการที่ดีด้วย เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่นักลงทุนว่าบริษัทที่ลงทุนแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็เป็นบริษัทที่ไว้ใจได้เพราะมีผู้บริหารที่ดี มีธรรมาภิบาลซึ่งเป็นเรื่องที่กองทุนบัวหลวงให้ความสำคัญมาโดยตลอด
      
       นอกจากนี้ กองทุนบัวหลวงยังมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ และกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม โดยส่วนที่กองทุนไม่ได้ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง ผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่บางส่วน รวมถึงเงินฝากธนาคารและตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่อง เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องโดยไม่เสียโอกาสการลงทุนด้วย
      
       กองทุนเปิดบัวหลวง Small-Mid Cap เพื่อการเลี้ยงชีพ (B-SM-RMF) จึงนับเป็นกองทุนหุ้นเฉพาะกลุ่มที่จะช่วยเติมเต็มและสร้างทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนมากขึ้น จากปัจจุบันที่กองทุน RMF ของกองทุนบัวหลวงมี 7 กองทุน ตั้งแต่กองทุนหุ้นทั่วไป กองทุนหุ้นที่เน้นหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนผสมที่เน้นหุ้น เน้นตราสารหนี้ กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมตลาดเงิน และกองทุนทองคำ

ที่มา
http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141132

บางจากฯเร่งกำลังการกลั่น หวังEBITDAแตะ1.3หมื่นล.ปี59

บางจากฯเร่งกำลังการกลั่น หวังEBITDAแตะ1.3หมื่นล.ปี59

 "บางจากฯ"เร่งเครื่องเพิ่มกำลังการกลั่น หวังปีหน้าแตะ 110,000 บาร์เรล/วัน จากปัจจุบัน 75,000 บาร์เรล/วัน เหตุทุกหน่วยกลับมาเดินเครื่องได้เต็มที่ และไม่มีการซ่อมบำรุงอีกตลอด 12 เดือน หวังดันEBITDA แตะ 9,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 13,000 ล้านบาท ในปี 2559 ผู้บริหารเชื่อปีหน้าไฟฟ้าแสงอาทิตย์สร้าง EBITDA ให้บริษัทกว่า 1,400 ล้านบาท ก่อนขยับเป็น 2,800 ล้านในปี 2557  พร้อมเร่งรีแบรนด์ปั๊ม และเพิ่มMini BigC อีก 100 สาขา แถมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ Nwe E20 และ Euro V วางตลาด
      
           นายพิเชษฐ์ เอมวัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส สายวางแผนและจัดหา บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP)เปิดเผยถึงแนวโน้มการดำเนินงานของบริษัท ว่า ในไตรมาส4ปีนี้ กำไรก่อหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อม และภาษี (EBITDA)ของบริษัทน่าจะดีขึ้นกว่า ช่วงไตรมาส3/55 ที่มี 2,400 พันล้านบาท เพราะเป็นไตรมาสสุดท้ายของปีและนับเป็นไตรมาสที่มีปริมาณความต้องการใช้น้ำมันสูงสุด อีกทั้งราคาน้ำมันก็ปรับตัวสูงขึ้น
      
           ทั้งนี้ บางจาก ปิโตรเลียม ตั้งเป้าในปี 2556 บริษัทจะมีEBITDA แตะ 9,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2559 บริษัทตั้งเป้า EBITDA แตะ 13,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากโครางการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่จะเพิ่มสัดส่วนในการรับรู้ EBITDA จากปีนี้ 6%จากทั้งหมด ขยับขึ้นเป็น 16% ในปี 2556 เมื่อเฟส2แล้วเสร็จและดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ และเพิ่มขึ้นเป็น 21%ในปี 2559 เมื่อเฟส3แล้วเสร็จและดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้เช่นกัน
      
           "ธุรกิจไฟฟ้าแสงอาทิตย์ของเราในปีนี้ สร้างEBITDA ให้เรา400 ล้านบาท ปีหน้าเราจะรับรู้จากโคางการในเฟสแรก 44 เมกะวัตต์เต็มจำนวน คือ 7450ล้านบาท ขณะที่ในเฟส 2 ซึ่งกำลังแล้วเสร็จจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนมกราคม 2556 จำนวน 25 เมกะวัตต์ และกุมภาพันธ์อีก 25 เมกะวัตต์ ทำให้เรารับรู้EBITDA อีก 700 ล้านบาท รวมปีหน้าเราจะรับรู้จากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 1,445 ล้านบาท ต่อไปเมื่อเฟส3แล้วเสร็จในปี 2557 อีก 75 เมกกะวัตต์เราจะรับรู้จากธุรกิจในส่วนนี้มากถึง 2,800 ล้านบาท"
      
           ส่วนกำลังการกลั่น นายพิเชษฐ์กล่าวว่า จากช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีกำลังการกลั่นเฉลี่ย 75,000 บาร์เรลต่อวัน เพราะปัญหาหน่วยกลั่น 1 หน่วยเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งได้ซ่อมแซมแล้วเสร็จและกลับมาเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วทำให้คาดว่ากำลังการกลั่นของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 90,000 บาร์เรล/วันได้ในช่วงปลายปีนี้ ส่วนปีหน้าบริษัทเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มขึ้นเป็น 110,00 บาร์เรล/วัน จากการเดินเครื่องเต็มที่ทุกหน่วยกลั่น และไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงทั้งปี ซึ่งทำให้เชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทในปีหน้าจะดีขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยคาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกในปี 2556 น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 106 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
          
           โดยแผนงานในปีหน้านอกจากโครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ บริษัทยังตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขายน้ำมันในสถานีน้ำมันของบางจากฯ เร่งปรับปรุงรีแบนรด์ดิ้งสถานีน้ำมันเพิ่มเติมอีก 120 แห่ง รวมถึงเพิ่มปริมาณร้าน Mini Bigc อีก 100 สาขา และตั้งเป้าให้มีถึง 220 สาขาในปี 2558 พร้อมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ Nwe E20 และ Euro V
      
           สำหรับความคืบหน้าของโครงการลงทุนตั้งโรงกลั่นแห่งใหม่นั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2556 ซึ่งคาดว่า จะต้องใช้เวลา 8 ปีจึงจะก่อสร้างแล้วเสร็จ

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141883

BAFS ยอดขายน้ำมันลด-กำไรโต

BAFS ยอดขายน้ำมันลด-กำไรโต

 “บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ” รับปีนี้ปริมาณการขายน้ำมันลดลงจากปีก่อน เหตุภัยน้ำท่วม
       และวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป และสหรัฐฯ พ่นพิษฉุดยอดเครื่องบินโดยสารเข้ามาในเมืองไทย มั่นใจกำไรโตเพิ่มจากการรับค่าชดเชยภัยน้ำท่วมที่ทำไว้ ภาพรวมตั้งเป้าปีหน้ายอดขายน้ำมันแตะ 4,705 ล้านลิตร พร้อมรอ ทอท.ชัดเจนแผนขยายสนามบินเพื่อลงทุนวางท่อน้ำมันรองรับ
      
       นายฉัตรชัย พันธัย ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ หรือ BAFS เปิดเผยภาพรวมธุรกิจของบริษัทในปีนี้ว่า จากวิกฤตอุทกภัยเมื่อปลายปีก่อน และปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ส่งผลต่อธุรกิจของบริษัทในเรื่องเที่ยวบินที่เดินทางมาลดลง ซึ่งเป็นผลให้ปริมาณการขายน้ำมันของบริษัทได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวด้วย ประมาณ 4% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไตรมาส 4 เป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยว น่าจะให้จำนวนเครื่องบิน และปริมาณการขายน้ำมันของบริษํทเพิ่มขึ้น และจะช่วยให้ปริมาณการขายน้ำมันทั้งปีของ BAFS ในปีนี้ลดลงเพียง 1.8%
      
       “เราคาดว่าปริมาณการขายน้ำมันทั้งปีของบริษัทในปีนี้อยู่ที่ 4,52 ล้านลิตร ลดลง 1.8% จากปีก่อนที่มีอยู่ 4,607 ล้านลิตร โดยรวมรายได้ของเราปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งเรายังได้รับรายได้พิเศษจากค่าชดเชยภัยน้ำท่วมเข้ามาเพิ่มเติมทำให้เชื่อว่ากำไรในปียี้น่าจะเติบโตมากขึ้น”
      
       ทั้งนี้ BAFS ตั้งเป้าปริมาณการขายน้ำมันในปี 2556 ไว้ที่ 4,705 ล้านลิตร และเดินหน้าปรับโครงสร้างบริษัทลูก (FPT)ที่ทำธุรกิจด้านท่อส่งน้ำมันเพื่อฟื้นฟูกิจการให้กลับมามีกำไร ขณะเดียวกัน บริษํทกำลังรอความชัดเจนของ บมจ.ท่าอากาศยานไทยในการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อดำเนินการลงทุนขยาย และวางท่อส่งน้ำมันในสนามบินเพิ่มเติมรองรับการขยายสนามบิน ซึ่งขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษางานลงทุน และเตรียมเงินสำรับลงทุนในโครงการดังกล่าวแล้วในระดับหนึ่ง
      
       สำหรับไตรมาส 3/55 บริษํทมีรายได้ 1,878.92 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 594.74 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2554 บริษัทมีรายได้รวม 2,409.33 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 527.56 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 613.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.8 ล้านบาท หรือ 3.2% ขณะที่ในช่วง 9 เดือนปี 2555 บริษัทมีปริมาณน้ำมันที่ให้บริการ 3,377 ล้านลิตร ลดลง 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141748

บจ. mai อวดกำไรไตรมาส 3 เพิ่ม 33%

บจ. mai อวดกำไรไตรมาส 3 เพิ่ม 33%

ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 55 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai มีกำไรรวม 1,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ 9 เดือนแรกยอดขายรวม 72,475 ล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 4,205 ล้านบาท เพิ่ม 15% และ 21% ชี้ผลประกอบการ บจ. mai แข็งแกร่ง พร้อมแนะผู้ลงทุนพิจารณาผลการดำเนินงานเพื่อการลงทุน
      
       นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่าบริษัทจดทะเบียนใน mai ที่นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2555 สิ้นสุด 30 กันยายน 2555 มีผลกำไร 61 บริษัท หรือคิดเป็น 78% ของบริษัทใน mai ทั้งหมด โดยบริษัทจดทะเบียนใน mai ยังคงเติบโตทั้งยอดขายและกำไร และมีความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น 20.28% ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น
      
       “อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ 1-16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พบว่า mai Index ทยอยปรับตัวลงจาก 385.17 จุด เหลือ 364.97 จุด หรือลดลง 3.64% ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีน้ำหนักต่อ mai Index สูงสุด 5 ลำดับแรกมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาข้อมูลผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน mai เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน เนื่องจากตัวเลขผลประกอบการที่ประกาศออกมายังคงแสดงถึงความแข็งแกร่งของบริษัท” นายชนิตร กล่าว
      
       สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวน 78 บริษัท จาก 79 บริษัท ที่นำส่งงบการเงินงวดไตรมาส 3 ปี 2555 สิ้นสุด 30 กันยายน 2555 มียอดขายรวม 24,764 ล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 1,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.03% และ 32.70% ตามลำดับ ขณะที่ 9 เดือนแรก มียอดขายรวม 72,475 ล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 4,205 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.36% และ 20.76% ตามลำดับ ทั้งนี้ไม่นับรวมกำไรจากการชดเชยค่าเสียหายจากการประกันอุทกภัยจำนวน 277 ล้านบาท ของ บมจ. ไทยมิตซูว่า (TMW) ซึ่งหากนับรวมแล้ว กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก จะเพิ่มขึ้นถึง 28.73%
      
       “จากการสำรวจผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนใน mai พบว่ามี 19 บริษัทยังคงมีกำไรต่อเนื่องอย่างน้อย 8 ไตรมาส นับแต่เข้าจดทะเบียนใน mai ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการปรับตัวและบริหารจัดการเป็นอย่างดี สำหรับไตรมาส 3 ปี 2555 บริษัทที่มียอดขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) มียอดขาย 2,785 ล้านบาท บมจ. ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น (TRC) 1,262 ล้านบาท และ บมจ. เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) 1,068 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) มีกำไรสุทธิ 325 ล้านบาท บมจ. บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) 131 ล้านบาท และ บมจ. ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น (TRC) 86 ล้านบาท” นายชนิตร กล่าวสรุป
      
       ทั้งนี้ ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 ตลาดหลักทรัพย์ mai มีบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้น 79 บริษัท ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 373.66 จุด market capitalization อยู่ที่ 115,738.87 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 1,018.76 ล้านบาท นับเป็นระดับแตะพันล้านบาทเป็นปีแรก

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141801

กบข.แย็บขอแก้เกณฑ์ลงทุนปรับแผนใหม่หวังยิลด์ 5.1% ต่อปี

กบข.แย็บขอแก้เกณฑ์ลงทุนปรับแผนใหม่หวังยิลด์ 5.1% ต่อปี

กบข.ลุยปรับโครงสร้างลงทุนรับแผนใหม่ ลดน้ำหนักตราสารหนี้ ลุยหุ้น-อสังหาฯ-โครงสร้างพื้นฐานเพิ่ม ตั้งเป้าผลตอบแทนเฉลี่ย 5.1% ต่อปี “โสภาวดี” รับอาจต้องแก้กฎกระทรวงใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะการลงทุนมากขึ้น พร้อมแนะจับตาปัญหายุโรป-สหรัฐฯ แต่เชื่อเศรษฐกิจไทย-เอเชียโตต่อเนื่อง
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)เปิดเผยว่า นโยบายการลงทุนของ กบข.ในปีหน้า (2556) จะมีการปรับสัดส่วนการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลงทุนระยะยาว (SAA) ใหม่ที่ได้จัดทำขึ้น โดยมีจุดประสงค์ในการสร้างความเพียงพอของเงินออมให้แก่สมาชิก ซึ่งจะมีผลตอบแทนที่สามารถชนะเงินเฟ้อ และเพียงพอไว้ใช้จ่ายในวัยเกษียณ

ทั้งนื้ การปรับสัดส่วนดังกล่าวเชื่อว่าน่าจะสามารถทำได้แล้วเสร็จในปีหน้า ซึ่งเบื้องต้นจะลดการลงทุนในตราสารหนี้ และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น และการลงทุนทางเลือกมากขึ้น เช่นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

โดยในปีที่ผ่านมา กบข.ได้ทยอยลงทุนในสินทรัพย์ทั้ง 2 ประเภทไปแล้วในต่างประเทศ แบ่งเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2,200 ล้านบาท จากวงเงินที่สามารถลงทุนได้ทั้งหมด 4,700 ล้านบาท และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 1,100 ล้านบาท จากวงเงิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถทยอยลงทุนได้ครบตามวงเงินที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะครบตามวงเงิน 8,000 ล้านบาทใน 3 ปีต่อจากนี้

ส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย ทาง กบข.มีความสนใจเช่นกัน เนื่องจากรัฐบาลยังมีงบประมาณในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถึง 2 ล้านล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องในอนาคต

“เราต้องการกระจายการลงทุนและบริหารผลตอบแทนให้ชนะเงินเฟ้อ แต่เราไม่มีเป้าว่าจะต้องได้ผลตอบแทน 9% ซึ่งแผนการลงทุนใหม่จะทำให้การลงทุนของ กบข.ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับวงจรเศรษฐกิจได้มากขึ้น โดยคาดว่ามีความเป็นไปได้ถึง 69% ที่ผลตอบแทนจะชนะเงินเฟ้อและอยู่ในระดับ 5.1%ต่อปี”

นางสาวโสภาวดี กล่าวอีกว่า การปรับสัดส่วนการลงทุนในครั้งนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าโครงสร้างการลงทุนจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างไร โดยปัจจุบันโครงสร้างการลงทุนตามกฎหมายของ กบข.จะต้องลงทุนในตราสารหนี้ไม่ต่ำกว่า 60% หุ้นไม่เกิน 35% การลงทุนในต่างประเทศ 25% และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อีก 8%

ทั้งนี้ สัดส่วนดังกล่าวจะไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น เนื่องจากเป็นการแก้กฎหมาย แต่ในเบื้องต้นเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลงทุนใหม่ที่จัดทำขึ้น กบข.มีความพยายามที่จะปรับแก้ในส่วนของกฎกระทรวงที่มีความยุ่งยากน้อยกว่าก่อน

“กรอบการลงทุนของ กบข.ค่อนข้างถูกจำกัดและหากปล่อยไว้เช่นนี้ในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้าโอกาสในการสร้างผลตอบแทนของ กบข.ก็จะถูกจำกัดไปด้วย มันอาจจะต้องมีปรับแต่ในเรื่องของกฎหมายคงจะใช้เวลานานมาก ที่น่าจะทำได้ก่อนคงเป็นในส่วนของกระทรวงที่สามารถผ่านขั้นตอนการประชุมคณะรัฐมนตรีได้เร็วกว่า และถ้าเป็นไปได้อยากแก้ให้ทันภายในปีหน้า

นางสาวโสภาวดี กล่าวอีกว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้จะต้องจับตาเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา และยุโรปว่าจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องของหนี้สาธารณะในประเทศกลุ่มยูโรโซน และการแก้ปัญหาหน้าผาการคลังของสหรัฐฯ ว่าจะออกมาในลักษณะใด

ส่วนเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียน่าจะยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเศรษฐกิจของประเทศจีนกับไทยน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่องจากในปีที่ผ่านมา ท่ามกลางอัตรดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะปรับลดลงอีกประมาณ 0.25% จากเดิมอยู่ที่ 2.75% ในการประชุมครั้งถัดไป

“หน้าผาการคลังสหรัฐฯ เองก็น่าจะจบแบบมีการประนีประนอมของทั้ง 2 พรรค ส่วนจีนเองเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเศรษฐกิจของเขาไม่ใช่ฮาร์ดแลนดิ้ง ซึ่งภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทยน่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการลงทุนของ กบข.ที่ผ่านมาได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้นอีกด้วย”
ที่มา
http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141293

คอนโดฯ ชลบุรี-หัวหินจ่อล้น เตือนจัดสรรลงทุนระวัง

คอนโดฯ ชลบุรี-หัวหินจ่อล้น เตือนจัดสรรลงทุนระวัง

 ศูนย์ข้อมูลฯ เผย 9 เดือนในเขตกทม.-ปริมณทล ที่อยูอาศัยเปิดใหม่ 274 โครงการ 73,000 หน่วย ลดลง 29% ระบุเอกชนแห่ลงทุนต่างจังหวัด หวังเพิ่มพอร์ตลูกค้า ชลบุรี หัวหินยอดเปิดขายทะลุหมื่นหน่วย แนะจัดสรรระวังโอเวอร์ซัปพลาย
      
       นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 มีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 274 โครงการ จำนวน 73,000 หน่วย แยกเป็นบ้านจัดสรร 153 โครงการ จำนวน 24,600 หน่วย และอาคารชุด 121 โครงการ จำนวน 48,400 หน่วย
      
       สำหรับจำนวนบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่ 24,600 หน่วย ลดลงร้อยละ 29 จาก 34,200 หน่วย (195 โครงการ) ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2554 หากแยกตามประเภทบ้าน แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ ร้อยละ 53 บ้านเดี่ยว ร้อยละ 35 บ้านแฝด และอาคารพาณิชย์พักอาศัย ร้อยละ 12 หากแยกตามระดับราคาบ้านจัดสรรที่เปิดขายใหม่ พบว่า ระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ร้อยละ 6 ระดับราคา 1-1.99 ล้านบาท ร้อยละ 20 ระดับราคาต่ำกว่า 2-2.99 ล้านบาท ร้อยละ 26 ระดับราคาต่ำกว่า 3-4.99 ล้านบาท ร้อยละ 31 ระดับราคาต่ำกว่า 5-7.49 ล้านบาท ร้อยละ 8 ระดับราคา 7.5 ล้านบาทขึ้นไป ร้อยละ 9
      
       สำหรับห้องชุดเปิดขายใหม่ 48,400 หน่วยนั้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 จากระดับ 32,500 หน่วย (จาก 83 โครงการ) ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2554 ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีหน่วยห้องชุดเปิดขายใหม่จำนวนมากในปีนี้ ได้แก่ โซนรัชดาภิเษก (เขตห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง) ซึ่งมีหน่วยเปิดขายใหม่เกือบ 10,000 หน่วย นอกจากนี้ ยังมีโซนสุขุมวิทตอนปลายต่อเนื่องกับโซนจังหวัดสมุทรปราการ และโซนจังหวัดนนทบุรี
      
       สำหรับในแง่ระดับราคาห้องชุดที่เปิดขายใหม่ พบว่า ระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ร้อยละ 16 ระดับราคา 1-1.99 ล้านบาท ร้อยละ 45 ระดับราคา 2-2.99 ล้านบาท ร้อยละ 19 ระดับราคา 3-4.99 ล้านบาท ร้อยละ 12 ระดับราคา 5-7.49 ล้านบาท ร้อยละ 5 ระดับราคา 7.5 ล้านบาทขึ้นไป ร้อยละ 3
      
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ห้องชุดเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลในปี 2555 มีขนาดพื้นที่ต่อหน่วยลดลงมาก โดยขนาดพื้นที่เล็กลงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตรึงราคาต่อหน่วยไว้ที่ระดับ 1 ล้านบาทเศษได้ ในสภาวะที่ต้นทุนที่ดิน วัสดุก่อสร้าง และค่าจ้างแรงงานเพิ่มสูงขึ้น ห้องชุดขนาดเล็กที่สุดในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 21 ตารางเมตร และห้องชุดที่มีขนาดต่ำกว่า 30 ตารางเมตรมีมากถึงร้อยละ 65 ของห้องชุดเปิดขายใหม่ทั้งหมดในปีนี้
      
       สรุปได้ว่า ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เน้นการเปิดโครงการอาคารชุดมากกว่าแนวราบ สัดส่วนการเปิดหน่วยห้องชุดมีมากกว่าหน่วยบ้านจัดสรรประมาณ 2 เท่าตัว
      
       อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่ายอดเปิดขายหน่วยห้องชุดมีมากถึง 21,900 หน่วยในไตรมาสแรก แต่ลดลงเหลือ 14,400 หน่วยในไตรมาส 2 และ 12,100 หน่วยในไตรมาส 3 ตามลำดับ สวนทางกับยอดเปิดขายหน่วยบ้านจัดสรรใหม่ซึ่งมีเพียงประมาณ 6,900 หน่วยในไตรมาสแรก และ 6,500 หน่วยในไตรมาส 2 แต่เพิ่มขึ้นเป็น 11,200 หน่วยในไตรมาส 3 ทั้งนี้ ปัจจัยหลักน่าจะมาจากการคลายความกังวลเรื่องอุทกภัยใหญ่เมื่อระยะเวลาผ่านพ้นไป
      
       ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าทั้งปี 2555 น่าจะมีห้องชุดเปิดขายใหม่ประมาณ 60,000 หน่วย เกือบเท่ากับปี 2553 ซึ่งมีการเปิดขายใหม่ประมาณ 64,000 หน่วย และมากกว่าปี 2554 ซึ่งมีการเปิดขายใหม่ประมาณ 42,300 หน่วย
      
       สำหรับโครงการแนวราบ หรือบ้านจัดสรรใหม่นั้น คาดว่าทั้งปี 2555 น่าจะมีเปิดขายใหม่ประมาณ 36,000 หน่วย ซึ่งลดลงจากที่เปิดขายใหม่ประมาณ 56,000 หน่วยในปี 2553 และ 40,300 หน่วยในปี 2554
      
       ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในต่างจังหวัด ผู้ประกอบการจากส่วนกลางหลายรายได้ขยายการดำเนินงานออกไปเปิดขายโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในจังหวัดภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดชลบุรี ในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อเนื่องอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีโครงการอาคารชุดเกิดขึ้นจำนวนมาก
      
       นอกจากนี้ ผู้ประกอบการจากส่วนกลางยังมีแผนเปิดโครงการอาคารชุด หรือโครงการบ้านจัดสรรในจังหวัดใหญ่อื่นๆ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และหาดใหญ่ สงขลา
      
       อย่างไรก็ตาม ในจังหวัดชลบุรีมีโครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่จำนวนมาก คาดว่าทั้งปีจะมีไม่ต่ำกว่า 13,000 หน่วย ขณะที่ในพื้นที่หัวหิน-ชะอำ จะมีโครงการอาคารชุดเปิดขายใหม่เกือบ 10,000 หน่วย ผู้ประกอบการจึงควรระมัดระวังต่อสภาพการแข่งขัน และอุปทานที่มีมาก


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141712

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บล.กสิกรฯ มองหุ้นไทยปีหน้า 1,500 จุด

บล.กสิกรฯ มองหุ้นไทยปีหน้า 1,500 จุด

บล.กสิกรไทย ประเมินปีหน้าหุ้นไทย 1,500 จุด แต่ไม่ราบรื่นนัก ภาพรวมเชื่อเหตุการณ์ต่างๆ ไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ คาด P/E ตลาดอยู่ที่ 13 เท่า กำไรบริษัทจดทะเบียนโต 15% ชี้นโยบายภาครัฐยังหนุนการบริโภคระดับรากหญ้าเติบโต ส่งผลดีต่อภาคเอกชน อีกทั้งเม็ดเงินยังไม่ออกไปไหน ด้านผู้บริหารพอใจผลงานปี 55 หลัง บล.กสิกรฯ กำไรโตเพิ่ม 20% จากปีก่อน แม้การขยายสาขาใหม่ล่าช้า ล่าสุด จัดทอล์กโชว์ “KS Present The Money Me Show ตอน THE DEBATE” ให้ความรู้นักลงทุน 29 พ.ย.นี้

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้ยังมีความเสี่ยง แต่จะไม่หนักมากนัก ไม่เหมือนคราววิกฤตสหรัฐฯ คือ ไม่ปรับตัวลงอย่างรุนแรง โดยรวมเศรษฐกิจไทยยังไปได้ต่อ ตัวเลขหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังอยู่ในระดับน้อย ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตอยู่ คาดว่าในปี 2556 มีโอกาสได้เห็นดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 1,500 จุดได้ แต่จะไม่ราบรื่นมากนัก

“ในปีหน้า P/E ตลาดหุ้นจะอยู่ประมาณ 13 เท่า ขณะที่อัตราการเติบโตด้านกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่ประมาณ 15% โดยรวมผมยังมองว่า กลุ่มธุรกิจที่ยังโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มคอนซูเมอร์ หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคของประชาชน เพราะในปี 2556 เศรษฐกิจโลกยังไม่เติบโตเท่าไร จากปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ ดังนั้น เป็นหน้าที่ของภาครัฐ และเอกชนที่จะต้องกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ซึ่งปัจจุบัน อัตราการจ้างงานของไทยยังอยู่ในระดับสูง ตัวเลขการว่างงานของประเทศอยู่ที่ 0.9% ถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับสเปนที่กำลังมีปัญาหา นอกจากนี้ ปีหน้าจะมีการปรับค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ยิ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการบริโภคที่ดี โดยหากการบริโภคระดับรากหญ้ามีการเติบโตสูงก็จะส่งผลดีต่อภาคเอกชน”

ขณะเดียวกัน ภาพรวมมองว่าปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายแห่งเริ่มหันมาให้ความสนใจเข้าทำตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เพราะมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีการนำเสนอสินค้าแบบใหม่ และการทำกิจกรรมการตลาดในต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนปี 2556 เชื่อว่ากระแสการเปิดเสรีเออีซีจะเข้ามาสร้างความน่าสนใจให้แก่ตลาดทุน ซึ่งในช่วงแรกที่มีการเชื่อมโยงตลาดอยู่ขณะนี้ หุ้นของไทยจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนในภูมิภาคแน่

ด้านนายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงายจัดการเงินลงทุนบุคคล บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเกิดจุดกลับตัวเพื่อปรับขึ้นมาได้ในช่วงไหน เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งในไตรมาส 4 ปีนี้ หรือไตรมาส 1-2 ในปี 2556 แต่โดยรวมเชื่อว่าจากปัจจัยลบที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่น่าจะกดดันให้เศรษฐกิจโลกปรับลงไปได้อีกมากนัก ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันเม็ดเงินในระบบยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้ยังต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนในระดับสูง ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นยังมี รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

ปี 55 บล.กสิกรฯ กำไรโต 20% แม้สาขาเปิดดีเลย์
น.ส.ณัฐรินทร์ ตาลทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กสิกรไทย กล่าวว่า กำไรจากการดำเนินงานของบริษัท ณ ปัจจุบันเติบโตขึ้นกว่าในปีก่อนแล้ว 20% จากทุกธุรกิจของบริษัท ทั้งในด้านโบรกเกอร์ อนุพันธ์ วาณิชธนกิจ แม้การขยายเพิ่มสาขาใหม่จะล่าช้าออกไปจากเป้าที่เคยตั้งไว้ ภายในไตรมาส 1 ปี 55 จะมีสาขาทั้งสิ้น 51 สาขา จากปี 2554 ที่มีอยู่ 28 สาขา

“เราเชื่อว่านอกจากความล่าช้าจากการเปิดสาขาใหม่ไม่้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ ภาพรวมวอลุ่มเทรดในตลาดหุ้นก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่เราคาดการณ์ไว้ที่ 34,000 ล้านบาท/ปี โดยอยู่ที่ 31,000 ล้านบาท/ปี แต่ถือว่าเป็นที่น่าพอใจเพราะกำไรจากการดำเนินงานของเรายังโตขึ้นจากปีก่อนถึง 20% เป้าหมายต่อไปของเราคือ การเดินหน้าเพื่อขึ้นเป็นบริษัทหลักทรัพย์อันดับ 1 ของประเทศ จากปัจจุบันอยู่ที่ 1 ใน 3 ของบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่ โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 6-7% อีกทั้งในปีนี้ บัญชีลูกค้าของเราเพิ่มขึ้นือีก 8,000 บัญชี เป็น 33,000 บัญชี และเรายังจะรุกขยายฐานบัญชีซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยต่อไป เพราะมองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก” น.ส.ณัฐรินทร์กล่าว

ขณะเดียวกัน วันนี้ (13 พ.ย.) บล.กสิกรไทย ได้ร่วมกับ บล.แมคควอรี่ (ประเทศไทย) จัดงาน “KS Present The Money Me Show ตอน THE DEBATE” ขึ้น เพื่อให้สาระความรู้การลงทุนให้แก่นักลงทุนที่เป็นลูกค้าบริษัท และนักลงทุนที่สนใจ โดยเนื้อหาการนำเสนอจะครอบคลุมการวิเคราะห์เจาะลึกมุมมองเศรษฐกิจโลก เอเชีย และประเทศที่จะเกิดขึ้นในปี 2556 ต่อเนื่องไปด้วยหุ้นเด่นของบริษัทที่มีเรื่องราวน่าจับตามอง ในวันที่ 29 พ.ย.นี้ เวลา 17.30 น. ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์ เธียเตอร์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าสยามพารากอน จำนวน 1,000 ที่นั่ง พร้อมกันนี้ ยังเตรียมถ่ายทอดสดผ่านระบบดาวเทียมให้ลูกค้าในต่างจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ อุดรธานี ชลบุรี และภูเก็ตได้รับชมไปพร้อมๆ กันด้วย

ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138771

น้ำมันลงหลังปรับลดอุปสงค์โลก วิกฤตหนี้ฉุดหุ้นมะกัน-ทองคำปิดลบ

เอเอฟพี/เดอะสตรีท - ราคาน้ำมันขยับลงวานนี้(13) หลังไออีเอ ปรับลดประมาณการณ์อุปสงค์พลังงานโลก ขณะที่วอลล์สตรีทและราคาทองคำ ก็ปิดลบเช่นกัน หลังนักลงทุนยังวิตกต่อวิกฤตหน้าผาการคลังในสหรัฐฯกับปัญหาหนี้สินยูโรโซน
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 19 เซนต์ ปิดที่ 85.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 86 เซนต์ ปิดที่ 108.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ทบวงพลังงานสากล(ไออีเอ) คาดหมายอุปสงค์พลังงานโลกหนล่าสุด ระบุว่าตลอดทั้งปี 2012 ความต้องการใช้พลังงานของโลกจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 670,000 บาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 89.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งน้อยกว่าที่เคยประมาณการณ์ไว้หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ราวๆ 60,000 บาร์เรล

นอกจากนี้ทางไออีเอ ยังคาดหมายด้วยว่าอุปสงค์พลังงานโลกในปี 2013 จะอยู่ที่ 90.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ปรับลดลงจากเดิมที่เคยประมาณการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ราว 100,000 บาร์เรล

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(13) ปิดลบพอประมาณ ท่ามกลางความกังวลต่อปัญหาหนี้กรีซ และวิกฤต"หน้าผาการคลัง" หรือการตัดรายจ่ายและขึ้นภาษีโดยอัตโนมัติในช่วงสิ้นปีของอเมริกา ที่อาจฉุดเศรษฐกิจหมายเลข 1 ของโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 56.67 จุด (0.44 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 12,758.41 จุด แนสแดค ลดลง 20.39 จุด (0.70 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,883.86 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 5.31 จุด (0.38 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,374.72 จุด

"ความกังวลต่อหน้าผาการคลังยังไม่จางหายไป ขณะที่ข้อวิตกเกี่ยวกับกรีซก็ยังคงอยู่" นักวิเคราะห์จากบรีฟดอทคอมกล่าว

ปัจจัยดังกล่าวก็ฉุดให้ราคาทองคำวานนี้(13) ปิดในแดนลบ ขณะที่นักลงทุนเฝ้ารอความชัดเจนจากยูโรโซนเกี่ยวกับแนวทางจัดการวิกฤตหนี้กรีซ สเปน รวมถึงตัวยูโรโซนเองด้วย โดยราคาทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 6.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,727.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ที่มา
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138943

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

“พฤกษา” ชู REM สร้างบ้านหนุนส่งมอบบ้าน 1.5 หมื่นหลัง/ปี

“พฤกษา” ชู REM สร้างบ้านหนุนส่งมอบบ้าน 1.5 หมื่นหลัง/ปี

  พฤกษา โชว์ระบบสร้างบ้าน REM ช่วยสร้างบ้านเร็วขึ้นจาก 3 เดือน เหลือ 1 เดือน เผยใช้งานก่อสร้างบ้านถึง 80% ของพอร์ต คาดปีนี้ส่งมอบบ้านเพิ่มเป็น 1.5 หมื่นหลัง/ปี ล่าสุด เปิดตัวโครงการใหญ่ย่านพัฒนาการ “พฤกษา อเวนิว” บนเนื้อที่ 410 ไร่ ผุดบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮาส์ 9 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท
      
       นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS กล่าวว่า บริษัทได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้าน Real Estate Manufacturing (REM) ซึ่งเป็นระบบการก่อสร้างในระบบพรีแคส ระบบน็อกดาวน์ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมุ่งเน้นคุณภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยลดเวลาการก่อสร้างจาก 3 เดือน เหลือเพียง 1 เดือน ขณะที่พบปัญหาการแจ้งซ่อม (defect) น้อยลง จากปกติพบงาน defect 14 จุด เหลือเพียง 3 จุด
      
       ทั้งนี้ บริษัทนำระบบ REM มาใช้นำร่องเมื่อปี 2554 ใน 2-3 โครงการ และปีนี้นำมาใช้ในงานก่อสร้างบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ประมาณ 80% และตั้งเป้าปีหน้าเป็น 100% ระบบดังกล่าว 1 ไลน์การผลิตจะใช้คนงาน 80-100 คน มีกำลังการผลิต 10 หลัง/เดือน สามารถสร้างบ้านได้ 3 วัน/หลัง ซึ่งจะทำให้พฤกษาสามารถส่งมอบบ้านได้เพิ่มเป็น 15,000 หลัง/ปี จากช่วง 2 ปีก่อนที่มีการส่งมอบเพียง 10,000 หลัง/ปี นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ของบริษัทเพิ่มเป็น 18-20% จากปกติอยู่ที่ 14-15%
      
       สำหรับการนำระบบการก่อสร้างแบบ REM มาใช้จะช่วยลดงาน defect จากปกติที่อยู่ 1% ของต้นทุนการก่อสร้าง จะเหลือเพียง 0.5% ของต้นทุนการก่อสร้าง ซึ่งจะเห็นชัดเจนในปีหน้า โดยการก่อสร้างแบบใหม่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จะพบปัญหาดังกล่าวมาก ทำให้ผู้บริโภคจะหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพงานก่อสร้างมากขึ้น
      
       ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษาฯ กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “พฤกษา อเวนิว” นับเป็นโครงการ flagship ของบริษัทที่พัฒนา 9 โครงการ บนทำเลเดียว ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว เดอะ แพลนท์ โครงการภัสสร เพรสทีจ โครงการเดอะปาล์ม โครงการชาเลตต์ โครงการทาวน์เฮาส์ พาทิโอ โครงการวิลเลต ซิตี้ โครงการวิลเล็ต ไลท์ โครงการพฤกษาวิลล์ และโครงการพฤกษาทาวน์ มูลค่าโครงการรวม 11,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำระบบ REM มาใช้ในการก่อสร้าง ทั้งนี้ “พฤกษา อเวนิว” จะเป็นฐานรายได้ของบริษัทในปี 2556-2557
      
       ส่วนผลการดำเนินงานในปี 55 รายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 26,000 ล้านบาท ส่วนยอดขายจำนวน 29,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน (backlog) ราว 35,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 2-3 ปี

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

SVI เตรียมนำหุ้นจ่ายปันผล-ซื้อคืน

SVI เตรียมนำหุ้นจ่ายปันผล-ซื้อคืน

เอสวีไอ เตรียมเสนอบอร์ดพิจารณาจ่ายหุ้นปันผล-ซื้อหุ้นคืน ก.พ.นี้ พร้อมปรับลดเป้าราย
       ได้ปีนี้เหลือ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมคาด 270 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังผลกระทบวิกฤตหนี้ยุโรป คาดปีหน้ารายได้โต 20% จากปีนี้ จากได้ลูกค้าใหม่ 5 ราย
      
       นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI เปิดเผยว่า บริษัทจะมีการเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) พิจารณาในการจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้น และอนุมัติในการเข้าซื้อหุ้นคืน ในการประชุมบอร์ดในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เนื่องจากฝ่ายบริหารมองว่าการจ่ายหุ้นปันผลนั้นจะช่วยทำให้บริษัทมีปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น ส่วนการซื้อหุ้นคืนนั้น หลังจากที่บริษัทได้ซื้อหุ้นคืนเสร็จไปแล้วในเดือนกันยายน 2555 โดยซื้อหุ้นคืน 100 ล้านบาท หรือ 30 ล้านหุ้น เพราะมองว่าราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ดี และมองว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทมีการเติบโตอีกมาก
      
       “บริษัทได้ล้างผลขาดทุนสะสมหมดแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีกำไรสะสมอยู่ที่ 100 ล้านบาท ซึ่งทางฝ่ายบริหารมองว่า หากมีการจ่ายเป็นเงินปันผลได้เพียง 0.05 บาทต่อหุ้น ถือว่าน้อย จึงมองว่าหากมีการจ่ายเป็นหุ้นปันผลน่าจะดีกว่า เพราะทำให้ฟรีโลทหุ้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้น และบริษัทมีเงินไปขยายการลงทุน ซึ่งจะเสนอบอร์ดพิจารณาเดือน ก.พ. หลังจากนั้นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นในเดือน เม.ย.ปีหน้า” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
      
       ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปีนี้บริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิมที่ 270 ล้านเหรียญสหรัฐก่อนที่วิกฤตยุโรปจะรุนแรงขึ้น ทำให้ยอดขายของบริษัทมีการปรับตัวลดลง แต่ในปี 2556 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% จากปีนี้ เนื่องจาก ริษัทได้ลูกค้าใหม่ 5 ราย ในชิ้นส่วนเกี่ยวกับอุปกรณ์สื่อสารที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง (กรอสมาร์จิ้น) ซึ่งบริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิ (เน็ตมาร์จิ้น) ปีหน้าอยู่ที่ 9% ขณะที่กำลังการผลิตของบริษัทปีหน้าคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 100% ได้ในไตรมาส 2 และ 3 จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิต 80%
      
       สำหรับเดือนธันวาคมนี้ บริษัทคาดว่าจะชำระหนี้อีก 200 ล้านบาท ทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีหนี้อยู่ 500 ล้านบาท เพราะต้องคุม D/E อยู่ 1.5 -2 เท่า ซึ่งหากบริษัทใช้หนี้ดังกล่าวครบแล้วจะทำให้บริษัทมีเงินเหลือก็จะสามารถนำไปใช้ในการลงทุน หรือไปซื้อกิจการได้หากบริษัทมีความพร้อม เพราะราคาสินทรัพย์ในยุโรปนั้นไม่เปลี่ยนจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปยังไม่สามารถแก้ไขได้
      
       นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า ปี 56 บริษัทจะใช้เงินลงทุน 300-350 ล้านบาท ซึ่ง 50% จะใช้ลงทุนโรงงานแห่งที่ 2 ที่นิคมอุตสาหกรรมบางกะดีที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมในปีก่อน รวมถึงใช้ลงทุนเพื่อเพิ่มยอดขาย ขณะที่มีแผนว่าหากยอดขายเติบโตต่อเนื่องจะมีการปรับปรุงโรงงานผลิตแห่งที่ 5 ต่อไป
      
       สำหรับวงเงินชดเชยจากประกันเหตุการณ์น้ำท่วมในปีที่ผ่านมา น่าจะได้รับเงินครบทั้งหมดภายในไตรมาส 1/56 จากปัจจุบัน บริษัทได้ทยอยรับแล้ว 600 ล้านบาท จากวงเงินประกันรวม 2 พันกว่าล้านบาท ซึ่งไม่รวมค่าสูญเสียโอกาสการทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม หลังเกิดน้ำท่วมทำให้การทำประกันภัยบริษัทต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นจาก 1.2 ล้านบาท เป็น 30 ล้านบาท โดยที่ทุนประกันน้อยลง และไม่รับประกันภัยจากน้ำท่วมด้วย

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

TCC รับสัมปทานเหมืองอินโดฯ 2 พันไร่

TCC รับสัมปทานเหมืองอินโดฯ 2 พันไร่


ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น คว้าสัญญาสัมปทานเหมืองถ่านหินใหญ่กว่า 2,000 ไร่ เพียง
       รายเดียวในประเทศอินโดนีเซีย ลุยตลาดขายถ่านหินเกรดเอค่าความร้อนสูง ดันรายได้โตเท่าตัว พร้อมเผยอยู่ระหว่างการเจรจาขายถ่านหินล็อตใหญ่ให้แก่โรงไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในต่างประเทศ
      
       นายบัณฑิต โชติวรรณพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCC ผู้นำเข้า และจำหน่ายถ่านหิน เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้มีการเซ็นสัญญาเป็นผู้รับสิทธิสัมปทานในเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย พื้นที่กว่า 2,200 ไร่ ซึ่งการที่บริษัทฯ ได้รับสิทธิดังกล่าวจะผลักดันให้ผลการดำเนินงานต่อจากนี้ไปจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด
      
       “ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับสัมปทานแต่เพียงผู้เดียวในเหมืองถ่านหินที่ประเทศอินโดนีเซีย บนพื้นที่กว่า 2,200 ไร่ โดยเหมืองดังกล่าวเป็นเหมืองถ่านหินระดับเกรดเอ เป็นถ่านหินที่มีค่าความร้อนสูง เป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มยอดขาย และรายได้ให้บริษัทฯ กว่าเท่าตัวในแต่ละเดือน” นายบัญฑิตกล่าว
      
       สำหรับสัญญาสัมปทานในเหมืองถ่านหินดังกล่าวนี้เบื้องต้นมีอายุสัญญา 2 ปี บนพื้นที่ 2,200 ไร่ ในประเทศอินโดนีเซีย โดยสามารถขยายอายุสัญญาได้ต่ออีก 5 ถึง 7 ปี ตามลำดับ และคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการขายถ่านหินได้ 50-80% ต่อไตรมาส
      
       นอกจากบริษัทฯ ได้มีการเซ็นสัญญาเป็นผู้รับสิทธิสัมปทานในเหมืองถ่านหินที่ประเทศอินโดนีเซียแล้ว ขณะนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจาขายถ่านหินล็อตใหญ่ให้แก่โรงไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในต่างประเทศซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไม่ช้านี้
      
ที่มา
ผู้จัดการรายวัน

เจริญโภคภัณฑ์อาหารยอดขาย 9 เดือน 2.6 แสนล.

เจริญโภคภัณฑ์อาหารยอดขาย 9 เดือน 2.6 แสนล.

เจริญโภคภัณฑ์อาหาร เผยยอดขาย 9 เดือนปี 55 แตะ 262,955 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% จากปี 54 ขณะไตรมาส 3 กำไรวูบ 53% เหตุกำไรขั้นต้นธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ตกต้นทุนพุ่ง แถมราคาขายต่ำ

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF กล่าวถึงผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนของบริษัทว่า ปีนี้หลังจากการดำเนินการเข้าซื้อธุรกิจในประเทศจีน และเวียดนามแล้วเสร็จต้นปีที่ผ่านมา ทำให้มียอดขาย 262,955 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% จากปี 2554 และมีกำไรสุทธิ 18,552 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36%

โดยกำไรไตรมาส 3 ปีนี้มี 2,404 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา 53% นั้น เป็นผลมาจากอัตราการทำกำไรขั้นต้นจากธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ลดลงจากปีก่อน เพราะระดับราคาเนื้อสัตว์ต่ำกว่าระดับราคาในปี 2554 ประกอบกับต้นทุนในการผลิตโดยเฉพาะราคาวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งปี 2555 นี้ นับได้ว่าเป็นปีที่มีปัจจัยภายนอกหลายประการที่มีผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท เช่น ภาวะวิกฤตภัยแล้งในสหรัฐฯ ที่มีผลต่อราคาวัตถุดิบ ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เป็นไปตามที่ได้คาดไว้ ภาวะผลผลิตล้นตลาด ทำให้ปีนี้ CPF ไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้

อย่างไรก็ดี บริษัทมองว่าจากนี้ไปสถานการณ์ต่างๆ น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และยังเดินหน้าขยายการลงทุนเพิ่มเพื่อขยายธุรกิจในต่างประเทศ คาดว่าปีหน้าบริษัทน่าจะคงระดับการเติบโตของธุรกิจไว้ได้ที่ประมาณ 15-20% จากปีนี้
ที่มา
ผู้จัดการรายวัน

แนะจับตาเม็ดเงินเข้าไทย-อินโดฯ ต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯ-จีน ได้ผู้นำ

แนะจับตาเม็ดเงินเข้าไทย-อินโดฯ ต่อเนื่อง หลังสหรัฐฯ-จีน ได้ผู้นำ

เม็ดเงินต่างประเทศยังไหลเข้าอาเซียนต่อ...ผ่านไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์...หลัง “โอบามา” ชนะการเลือกตั้ง และการเปลี่ยนผู้นำของจีนเกิดขึ้น ภาพรวมการเติบโตในภูมิภาคนี้ยังสูงกว่าทั้งสหรัฐฯ และยุโรป มอง Fiscal Cliff แค่ปัจจัยกดดันในช่วงระยะหนึ่ง ส่วนจีนแม้มีนายใหม่ แต่นโยบายยังเป็นรูปแบบเดิม แต่ระยะยาวค่าเงินหยวนจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นฉุดดอลลาร์สหรัฐ และทองคำอ่อนตัว
ความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกมีผลต่อตลาดหุ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ข้อยุติ ความกังวลต่อนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็เข้ามาสร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนในทันทีทันใด อีกทั้งเพียงไม่กี่วันต่อมา ก็เกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่ในจีนขึ้น ตลาดหุ้นไทยหนีไม่พ้นจะได้รับผลกระทบจากเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย ดัชนีหลักทรัพย์ยังยากที่จะยืนเหนือ 1,300 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะปรับตัวขึ้นไปอยู่เหนือแนวต้านดังกล่าวได้ แต่ก็ไม่สามารถยืน หรือสร้างฐานที่มั่นคงได้นาน เห็นได้จากช่วงวันที่ 6 พ.ย. ดัชนีปิดที่ 1,300.84 จุด และในวันที่ 9 พ.ย.ก็ลดลงมาอยู่ 1,290.83 จุด ในรูปแบบการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ได้นำเสนอรายงานในเรื่องเหตุการณ์สำคัญ 2 เรื่อง เกิดขึ้นภายในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าเหตุการณ์สำคัญหลังจากนายบารัค โอบามา กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย จะเริ่มตั้งแต่การเป็นสุญญากาศทางการเมือง 6 พ.ย.55-3 ม.ค.56 หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะชนเพดานในช่วง พ.ย.-ธ.ค. ด้านมาตรการลดหย่อนภาษีจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ ต่อมา 2 ม.ค.56 สำนักงบประมาณจะปรับลดงบประมาณภาครัฐ 8.6 หมื่นล้านเหรียญ และ 20 ม.ค. บารัค โอบามา จะเริ่มรับตำแหน่งอีกครั้ง แต่ตลอด ก.พ.-มี.ค.2556 สหรัฐฯ จะไม่สามารถก่อหนี้ได้

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เชื่อว่า ภาพรวมเม็ดเงินยังไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชีย และตาดหุ้นไทยต่อไป เพราะสหรัฐฯ ยังมีการฟื้นฟูที่เล็กน้อย อีกทั้งตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงสนับสนุนจากสถานการณ์คลังของรัฐบาลไทยที่ยังคงสามารถออกมากระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยในภาพรวมหลังจากนี้ ซึ่งเป็นช่วงสุญญากาศทางการเมืองของสหรัฐฯ ประเมินว่า หุ้นไทยกำลังอ่อนตัวลง และเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนโดยเฉพาะในหุ้นที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐ เช่น รับเหมาก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์

แต่สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดคือ หน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) หรือมาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่า 6 แสนล้านเหรียญที่จะครบกำหนดสิ้นปีนี้ เพราะหากไม่มีการต่ออายุจะทำให้จีดีพีของสหรัฐฯ ในปี 2556 ลดลงถึงขั้นถดถอย รวมถึงมาตรการลดสวัสดิการแก่ผู้ว่างงานที่จะหมดอายุในปี 2556 อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าท้ายที่สุดสภาครองเกสจะยอมต่ออายุมาตรการออกไป

ส่วนการเปลี่ยนผู้นำจีนในรอบ 10 ปี สิ่งที่ต้องจับตา คือ การปรับโครงสร้าง และกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะการเปลี่ยนแปลงผู้นำจีนในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ และเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก โดยผู้นำคนใหม่ของจีนได้ถูกคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า นายสี จิ้น ผิง จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แทน นายหู จิ่นเทา ส่วน นายหลี่ เค่อ เฉียง จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนนายเหวิน เจีย เปา โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการในเดือน มี.ค.2013 ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจจีนถูกกำหนดมาจากรัฐบาลกลางนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์

“เราประเมินว่า ผู้นำใหม่ของจีนจะดำเนินนโยบายตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจเดิม คือ เน้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ มากกว่าเน้นการเติบโต โดยการปรับโครงสร้างที่สำคัญ คือ การเพิ่มการบริโภคในประเทศ ลดการพึ่งพาการส่งออก และ การลงทุน ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นนั้น เราเชื่อว่าไม่มี เนื่องจาก จีนได้มีการผ่อนคลายนโยบายด้านการเงินไปพอสมควรแล้ว ในขณะที่มาตรการคุมเข้มความร้อนแรงของอสังหาริมทรัพย์ยังคงจำเป็นต้องดำเนินต่อไป ส่วนปัจจัยที่คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 7% คือ การลงทุนในระบบขนส่งมวลชน ซึ่งทางการจีนได้มีการประกาศออกมาแล้วว่า จะลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าประมาณ 10-15 สายต่อปี”

ดังนั้น นัยต่อการลงทุนสำหรับตลาดหุ้นเอเชีย คาดว่า นักลงทุนอาจผิดหวังหากคาดว่าผู้นำใหม่ของจีนจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2008 ดังนั้น คาดว่า เงินทุนต่างชาติจะยังคงเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นแถบอาเซียน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ต่อไป จนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของจีนอย่างแท้จริงจึงจะมีการย้ายเม็ดเงินลงทุนไปในตลาดหุ้นแถบเอเชียเหนือแทน

ส่วนค่าเงินเอเชีย นโยบายเกี่ยวกับการบริหารจัดการค่าเงินหยวนจะยังคงดำเนินต่อไปไม่แตกต่างจากเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะยาว แนวโน้มดังกล่าวคาดว่าจะกระทบต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าตามไปในระยะยาวด้วย ปัจจัยอีกประการคือ บทบาทของเงินหยวนในตลาดการเงินโลก ซึ่งเราคาดว่าจะเพิ่มบทบาทมากขึ้นทั้งในด้านการค้า และการลงทุน **และการที่ค่าเงินหยวนมีบทบาทมากขึ้นนั้นจะส่งผลกระทบให้ความน่าสนใจของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และทองคำลดลงในระยะยาว**
ที่มา
ผู้จัดการรายวัน

“คลัง” จับมือ “ตลาดทุน” โรดโชว์ “อังกฤษ” ชูเมกะโปรเจกต์พื้นฐาน 2.27 ล้านล.

“คลัง” จับมือ “ตลาดทุน” โรดโชว์ “อังกฤษ” ชูเมกะโปรเจกต์พื้นฐาน 2.27 ล้านล.

“ขุนคลัง” ผนึกกำลัง “สภาธุรกิจตลาดทุน” ตะลุยโรดโชว์ “อังกฤษ” ครั้งที่ 2 วันที่ 13 พ.ย.นี้ เตรียมชูจุดเด่นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมูลค่า 2.27 ล้านล้านบาท “ชัชชาติ” เตรียมหอบข้อมูลเด็ด “คมนาคม” กล่อมนักลงทุนต่างชาติ หวังดึงเม็ดเงินไหลเข้า
      
       นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เตรียมนำคณะผู้แทนภาครัฐ และเอกชนไทยพบนักลงทุนสถาบันต่างชาติชั้นนำ ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร กว่า 80 ราย
      
       หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการจัดโรดโชว์พบนักลงทุนสถาบันชั้นนำ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือนกันยายน 2555 ที่ผ่านมา สภาธุรกิจตลาดทุนไทยได้รับความไว้วางใจจากกระทรวงการคลัง และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ให้เป็นผู้ร่วมจัดโรดโชว์พบนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 นี้
      
       นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า การจัดโรดโชว์ในครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีมาก มีผู้บริหารกองทุนกว่า 80 ราย แจ้งยืนยันร่วมงาน โดยการไปโรดโชว์ที่สหราชอาณาจักรครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งภาครัฐ และเอกชนจะได้ร่วมกันให้ข้อมูล และตอบข้อซักถามของนักลงทุนในเวทีเดียวกัน ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนได้เป็นอย่างดี
      
       การนำเสนอข้อมูลจากผู้แทนภาครัฐนำทีมโดย นายกิตติรัตน์ และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมนำเสนอข้อมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลไทย มูลค่า 2.27 ล้านล้านบาท รวมทั้งโครงการสำคัญอื่นๆ เช่น โครงการลงทุนเพื่อป้องกันภัยน้ำท่วม มูลค่ากว่า 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงที่รับผิดชอบเป็นผู้นำเสนอ และตอบข้อซักถามอย่างละเอียดด้วยตนเอง
      
       นอกจากนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เตรียมไปนำเสนอข้อมูลภาพรวมเศรษฐกิจไทย และแนวทางการดำเนินโครงการสำคัญต่างๆ ทั้งในด้านโครงข่ายการขนส่งทางบก ทางน้ำ และอากาศ รวมทั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างกันในภูมิภาค และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนนโยบายในการเสริมสร้างรายได้ และลดรายจ่ายภาคครัวเรือน เสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุปสงค์ภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ดีภายใต้ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
      
       ขณะเดียวกัน นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง จะนำเสนอข้อมูลเพื่อเสริมความเชื่อมั่นนักลงทุนต่งชาติในเรื่องเสถียรภาพการเงิน และการคลังของประเทศ ตลอดจนนโยบายการเงินและการคลังในอนาคต เสริมด้วย น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ที่เตรียมฉายภาพการเติบโต พัฒนาการสภาพคล่อง และโอกาสในการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย
      
       ด้านผู้แทนภาคเอกชนไทยนำโดย นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย จะนำเสนอข้อมูลผลประกอบการของตลาดหลักทรัพย์ไทยเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค และทั่วโลก โดยยืนยันผลการดำเนินงาน (Performance) ของตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนดีติดอันดับต้นของโลก พร้อมทั้งเตรียมนำเสนอผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรอบ 9 เดือนของปีนี้ที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเป็นที่สนใจมากขึ้นจากนักลงทุนต่างประเทศ
      
       นอกจากนี้ ตัวแทนภาคเอกชนไทยยังมี นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (บล.) นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) และนายสมจินต์ ศรไพศาล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) ร่วมเข้าพบนักลงทุนเพื่อตอบข้อซักถามโดยตรงอีกด้วย
      
       นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า “ผมขอขอบคุณกระทรวงการคลังเป็นอย่างสูงที่ให้ความไว้วางใจสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเพื่อเข้ามาร่วมจัดโรดโชว์ในครั้งนี้ ผมเห็นว่าการเตรียมการนำเสนอข้อมูล การตอบข้อซักถาม และการเชิญนักลงทุนเข้าร่วมงานในครั้งนี้ ทั้งภาครัฐ และเอกชนมีความพร้อมสูงมาก และมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าการทำงานครั้งนี้จะประสบความสำเร็จและสามารถดึงเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศเข้าตลาดทุน และโครงการสำคัญของภาครัฐได้อย่างแน่นอน”
ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138020

คนไทยชะลอใช้บัตรเครดิต ยอดเบิกเงินสดล่วงหน้าลดลงวูบ 22%

คนไทยชะลอใช้บัตรเครดิต ยอดเบิกเงินสดล่วงหน้าลดลงวูบ 22%

แบงก์ชาติเผยปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นไม่มากแค่ 3.93 พันล้านบาท ซึ่งเกิดจากนอนแบงก์เป็นหลัก และเป็นการใช้จ่ายใน-นอกประเทศ ซึ่งเฉพาะเดือน ส.ค.ใช้จ่ายในต่างประเทศพุ่งถึง 26.04% แต่ยอดเบิกเงินสดล่วงหน้ากลับลดลงถึง 22.63% ส่วนยอดสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 3.14 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 15.33%
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า ธปท.ได้ประกาศตัวเลขสำคัญในธุรกิจบัตรเครดิตล่าสุดสิ้นเดือน ส.ค.ของปี 55 พบว่า ปริมาณการใช้จ่ายรวมผ่านบัตรเครดิตมีทั้งสิ้น 1.06 แสนล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.86 พันล้านบาท ลดลงทั้งบริษัทประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งรวมสาขาธนาคารต่างชาติด้วย 954 ล้านบาท และลดลง 901 ล้านบาท ตามลำดับ แต่เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กลับมียอดเพิ่มขึ้น 3.93 พันล้านบาท นอนแบงก์เพิ่มขึ้นมากที่สุด 2.49 พันล้านบาท

ทั้งนี้ หากพิจารณาประเภทการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต พบว่า เดือนนี้มีปริมาณการใช้จ่ายในประเทศ 8.70 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อน 1.30 พันล้านบาท แต่กลับเพิ่มขึ้นช่วงเดียวกันปีก่อน 6.75 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.41% ปริมาณการใช้จ่ายในต่างประเทศทั้งสิ้น 5.41 พันล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้าสัดส่วน 12.15% แต่เพิ่มขึ้นถึง 26.04% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ส่วนการเบิกเงินสดล่วงหน้ามียอดทั้งสิ้น 1.35 หมื่นล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 3.94 พันล้านบาท ลดลงถึง 22.63% ซึ่งธนาคารพาณิชย์ลดลง 4.23 พันล้านบาท แต่นอนแบงก์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 291 ล้านบาท

ด้านยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตทั้งสิ้น 2.24 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งเทียบเดือนก่อนหน้า และช่วงเดียวกันปีก่อน 2.05 พันล้านบาท และ 2.01 พันล้านบาท คิดเป็น 9.87% ซึ่งสินเชื่อเพิ่มขึ้นผ่านผู้ประกอบการบัตรเครดิตทุกประเภท ขณะที่จำนวนบัตรเครดิตมีทั้งสิ้น 16.21 ล้านใบ เพิ่มขึ้น 1.37 แสนใบจากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 1.29 ล้านใบ เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

ในช่วงเวลาเดียวกัน ธปท.ได้ประกาศธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับดูแล ซึ่งมียอดคงค้างทั้งสิ้น 2.36 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน 4.27 พันล้านบาท และ 3.14 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 15.33% ตามลำดับ ซึ่งมีเพียงสาขาธนาคารต่างชาติเท่านั้นที่มียอดสินเชื่อลดลง 3 พันล้านบาท ขณะที่จำนวนบัญชีมีทั้งสิ้น 9.42 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 1.10 แสนบัญชี จากเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 6.78 แสนบัญชี จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ที่มา
ผู้จัดการรายวัน

ไทยขนเงินลงทุนนอก 2.1 หมื่นล.เหรียญ ยอดเปรียบเทียบปรับก.ล.ต.แตะ 83 ล.

ไทยขนเงินลงทุนนอก 2.1 หมื่นล.เหรียญ ยอดเปรียบเทียบปรับก.ล.ต.แตะ 83 ล.


ก.ล.ต.รายงานสถิติสำคัญช่วงไตรมาส 3/55 พบยอดเปรียเทียบปรับพุ่งแตะ 83 ล้านบาท พร้อมไฟเขียวปล่อยลงทุนต่างแดน 33,195 ล้านเหรียญ พบมีการนำเงินไปลงทุนจริง 21,369 ล้านเหรียญ โดย 5 ประเทศยอดนิยมได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บราซิล ฮ่องกง จีน และอเมริกา ผ่านเงินฝาก หุ้นกู้ ตราสารหนี้อื่น และหน่วยลงทุน
      
           สำนักงานคณะกรรมการกำบหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานข้อมูลสถิติสำคัญ (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555) ว่า ในไตรมาส 3/55 มีการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 5 รายการ มากกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มีเพียง 2 รายการ และใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก (2555) ซึ่งมี 6 รายการ โดยมีมูลค่าในการเสนอขายภายในประเทศ 9,267 ล้านบาท
      
           ขณะที่ธุรกิจจัดการลงทุนในไตรมาส 3/55 มีทั้งสิ้น 1,240 กองทุน คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,154,267 ล้านบาท
      
           ส่วนธุรกรรมการทำคำเสนอซื้อเพื่อครอบงำกิจการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา พบว่ามี 2 บริษัทที่ถูกเสนอซื้อ  โดยมีมูลค่าหุ้นที่เสนอซื้อ 6,801 ล้านบาท และมีมูลค่าหุ้นที่เกิดรายการซื้อขายจริง 6,792 ล้านบาท
      
           นอกจากนี้  ก.ล.ต. ยังได้รับเรื่องร้องเรียน จำนวน 35 รายการ แบ่งเป็นการร้องเรียนการกระทำอันไม่เป็นธรรม (ปั่นหุ้น-แพร่ข่าว-ใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหลักทรัพย์) 11 รายการ การประกอบธุรกิจโดยไม่มีใบอนุญาต 14 รายการ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ติดต่อผู้ลงทุน 10 รายการ โดยเป็นเรื่องที่ได้ยุติหรือส่งต่อไปยังหน่วยงานอื่น 25 รายการ
      
           ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้มีการเปรียบเทียบปรับในไตรมาส 3/55 คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 83,052,215 ล้านบาท มากกว่า 6 เดือนแรกในปีนี้ที่มีจำนวน 12,708,892 ล้านบาท และสูงกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนซึ่งมีเพียง 12,736,387 ล้านบาท และมีการกล่าวโทษในไตรมาสนี้ 11 รายการ
      
           สำหรับข้อมูลการลงทุนในต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 ก.ล.ต. ได้จัดสรรวงเงินแล้วทั้งสิ้น 33,195 ล้านเหรียญสหรัฐ (จากยอดรวม 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)  มีการนำเงินไปลงทุนจริง 21,369 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 64% ของวงเงินที่ ก.ล.ต. จัดสรรทั้งหมด
      
           โดยการลงทุนในต่างประเทศกระจายตัวในหลายประเทศ โดย 5 อันดับแรก (62.31%) ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บราซิล ฮ่องกง จีน และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเภทตราสารที่ลงทุนกระจายตัวในตราสารที่หลากหลาย เช่น เงินฝาก หุ้นกู้ ตราสารหนี้อื่น และหน่วยลงทุน

ที่มา
ผู้จัดการรายวัน