วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หุ้นIPOปี54 ยิลด์เด่นสูงสุดในภูมิภาคเอเชียอันดับ4ของตลาดหุ้นโลก

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ใน SET และ mai ปีนี้ให้ผลตอบแทนจากการถือหุ้น IPO จนถึงปัจจุบัน (Offer to Date Return) คิดเป็นค่าเฉลี่ย 41.54% สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือนับเป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ในปีนี้10 บริษัท แบ่งเป็นใน SET 3 บริษัท และใน mai 7 บริษัท มีผลตอบแทนนับแต่ IPO จนถึงปัจจุบัน (ณ 21 ธ.ค. 2554) เฉลี่ย 41.54% นับเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคภาคเอเชีย-แปซิฟิก

“ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลตอบแทนนับแต่ IPO ของหลักทรัพย์ใหม่เหล่านี้มีความโดดเด่น คือการที่บริษัทเหล่านี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตและบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมี 6 บริษัท ที่มีกำไรสุทธิเติบโตเกิน 100% จากผลประกอบการงวด 9 เดือน และ 4 บริษัทที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้ว ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและสภาพคล่องของบริษัท

นอกจากนั้น การที่ SET Index และ mai Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 นับเป็นปัจจัยเอื้อต่อภาวะการซื้อขายหุ้นเข้าใหม่ และยังสะท้อนให้เห็นความมั่นใจของผู้ลงทุนที่มีต่อบริษัทจดทะเบียนไทยแม้จะเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วม” นายชนิตรกล่าว

ขณะเดียวกัน พบว่า ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีผู้ลงทุนที่หลากหลาย ทั้งผู้ลงทุนบุคคลทั่วไปและสถาบันที่ต่างสนใจลงทุนหุ้น IPO เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี (2551-2553) หุ้น IPO ให้ผลตอบแทนนับแต่ IPO ถึงปัจจุบันใกล้เคียงหรือดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีค่าเฉลี่ยในแต่ละปีที่ 40.78% 116.91% และ 85.36% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ผลตอบแทนในแต่ละปีที 21.64% 131.97% และ 42.10% ตามลำดับ

อีกทั้งการที่บริษัทเข้าใหม่สามารถระดมทุนโดยมีต้นทุนที่ถูกกว่าบริษัทที่จดทะเบียนอยู่แล้ว สังเกตได้จากค่าเฉลี่ยราคาหุ้น IPO ต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ของหุ้นเข้าใหม่ที่ 12.60 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ของ SET และ mai อยู่ที่ประมาณ 13.37 เท่าและ 18.46 เท่า ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การระดมทุนโดยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีความน่าสนใจ

ทั้งนี้ ณ วันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าใหม่ในปี 2554 ทั้ง 10 แห่งอยู่ที่ประมาณ 26,000 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 29,298 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.72% ณ วันที่ 21 ธ.ค. 2554 โดยหุ้นเข้าใหม่ใน SET ที่ให้กำไรจากการถือหุ้นจนถึงปัจจุบันสูงสุด คือ บมจ. น้ำตาลครบุรี (KBS) ที่ 20.88% และใน maiได้แก่ บมจ. ยูเนี่ยน อินทราโก้ (UIC) ที่ 118.75% ตามลำดับ

สำหรับตลาดหลักทรัพย์ ในเอเชีย-แปซิฟิก ที่ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อมาทำการเปรียบเทียบผลตอบแทนดังกล่าว รวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มี จำนวน 12 แห่ง และตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก 44 แห่ง โดยใช้ข้อมูลราคา IPO ของหลักทรัพย์เข้าใหม่ทุกตัวของแต่ละตลาด เปรียบเทียบกับราคาปิดของหลักทรัพย์นั้น ๆ ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2554




จาก
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000165832

ไพรเวทฟันด์บัวหลวงโตทะยาน ดันใช้Employee’sChoiceกองสำรองฯเต็มตัว

ไพรเวทฟันด์บัวหลวงโตทะยาน ดันใช้Employee’sChoiceกองสำรองฯเต็มตัว

บลจ.บัวหลวง เผย ไพรเวทฟันด์ 2554 โตขึ้น 500% จากสิ้นปี 2553 ที่ 1,000 ล้านบาทเป็น 6,000 ล้านบาท โดยเน้นเจาะฐานลูกค้าบ.ขนาดกลาง-ใหญ่ ที่มีเงินเหลือ ขณะที่กองสำรองเลี้ยงชีพปีนี้โตขึ้น 15% และเตรียมใช้ระบบ Employee’s Choice 100% ในอีก 2 - 3 ปี ข้างหน้า ขณะเดียวกัน มอง ราคาทองคำปีหน้า ถึง 1,800-2,000 เหรียญฯ

นายหรรสา สุสายัณห์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง เปิดเผยว่า ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของบริษัทในปี 2554 มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 2553 ที่ 1,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 500% เป็นการเติบโตจากฐานที่ค่อนข้างเล็ก โดยแนวทางในการทำธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลจะเน้นไปในการเจาะฐานลูกค้าบริษัทขนาดกลาง-ใหญ่ที่มีเงินเหลือต้องการบริหาร ซึ่งการที่บริษัทได้บริหารเงินส่วนกลางของ “โครงการดิ เอ็นเนอร์จี้ หัวหิน” ก็ถือเป็นการเปิดตัวแนวทางในทำธุรกิจรูปแบบนี้ของบริษัทได้เป็นอย่างดี จากในอดีตที่ทุกบลจ.จะมุ่งไปในการบริหารเงินให้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือ กองทุนประกันสังคม (สปส.) เพียงอย่างเดียว บริษัทก็จะขยับมาเปิดตลาดบริษัทที่มีเงินเหลือต้องการบริหารให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในอดีตบริษัทเหล่านี้จะบริหารกันเองเช่นไปฝากประจำบ้าง ซื้อพันธบัตรรัฐบาลบ้าง แต่เวลาจำเป็นต้องใช้เงินกะทันหันต้องถอนออกมาก็ได้ดอกเบี้ยต่ำ หรือขายขาดทุนก็มี

โดยการบริหารเงินของบริษัทที่มีเหลือนั้น ต่อไปบริษัทเหล่านั้นอาจจะเอาท์ซอสให้บลจ.มาเป็นผู้บริหารให้แทนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือแนวทางที่บริษัทจะมุ่งไปในอนาคต

นายหรรสา ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเองนั้นบริษัทไม่ได้เน้นในเรื่องของการเติบโตของสินทรัพย์มากนัก เพราะต้องยอมรับว่าตลาดนี้มีการแข่งขันกันสูงโดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ แต่ในปี 2554 ที่ผ่านมาจำนวนบัญชีลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทมีการเติบโตขึ้นประมาณ 15% ถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ โดยบริษัทเน้นเจาะฐานลูกค้าขนาดกลางและเล็ก โดยใช้ทางเลือกการลงทุน (Employee’s Choice) เป็นตัวนำเพื่อให้สมาชิกสามารถบริหารเงินเพื่อเกษียณในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะให้ลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปัจจุบันมาใช้ระบบ Employee’s Choice ทั้งหมด 100% ในอีก 2 - 3 ปี ข้างหน้า โดยจะค่อยๆ แนะนำให้กับลูกค้าเดิมเพราะในส่วนลูกค้าใหม่ที่เข้ามาบริษัทให้เข้าสู่ระบบ Employee’s Choice อยู่แล้ว

“ปัจจุบันการลงทุนในทองคำและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ได้รับการยอมรับจากลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้นตามลำดับ ในอนาคตการขยับเข้ามาลงทุนในทางเลือกการลงทุนทั้ง 21 รูปแบบ นี้ก็คงมีมากขึ้น แต่ขึ้นกับซัพพลายของสินค้าด้วยว่าจะมีเพียงพอให้ลงทุนได้หรือไม่ แต่ก็ถือเป็นการเปิดกรอบการลงทุนให้กว้างขึ้นจากในอดีตพอสมควร” นายหรรสา กล่าว

ด้านนายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2555 คาดว่าจะเติบโตในระดับ 3 - 4% โดยกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่จะเป็นตัวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในขณะที่ประเทศไทยหลังเจออุทกภัยครั้งใหญ่ปี54 การเติบโตจะเป็นลักษณะวีเชพ (V) เพราะฐานะการคลังที่แข็งแกร่ง หนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ไม่สูงประมาณ 42% สามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้ถึง 60% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะอยู่ที่เงินลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่จำเป็นต้องมีการฟื้นฟูซ่อมแซม โดยคาดว่าในปี55 นั้น กำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตประมาณ 10-12% ซึ่งรวมการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงแล้ว และคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี55 จะโตประมาณ 4.5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะะเติบโต 1.5 - 2.0% เนื่องจากไตรมาสที่4/54 ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเข้ามา

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในปี 2555 ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ แม้ช่วงที่ผ่านมาราคาทองจะปรับลัลงจากแรงขายทำกำไรและถูกบังคับขาย เนื่องจากตลาดทองฟิวเจอร์ในสหรัฐมีการลงทุนด้วยมาร์จิ้น 20% เมื่อราคาทองลงระดับหนึ่งก็ถูกบังคับขายออกมา อย่างไรก็ตามหากดูระยะยาวการที่ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศลดการสำรองเงินยูโรลงจากปัญหาหนี้ในยุโรป และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) คงนโยบายดอกเบี้ยต่ำถึงกลางปี2556 นั้น รวมถึงการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งติดต่อกัน ทำให้เอื้อต่อการลงทุนในทองคำในระยะกลางถึงยาว ถือเป็นสินทรัพย์ที่ เหมาะกับการกระจายการลงทุน ในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ทองคำให้ผลตอบแทนเป้นบวกทุกปี และในปี 2554 แม้ราคาจะปรับตัวลงมาก็ยังบวกประมาณ 10%

"ตลาดมองว่าทองคำในปี 2555 อาจไปถึง 1,800-2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งบริษัทเองก็มีมุมมองในเชิงบวกต่อการลงทุนในทองคำเช่นกัน" นายพีรพงศ์ กล่าว


ผู้จัดการออนไลน์

ฟันธงปี55ทองพุ่งแตะออนซ์ละ2พัน$ เฮดจ์ฟันด์-กองทุน ยังเก็บเข้าพอร์ต

กูรูทองคำ เชื่อปีหน้าราคาทองยังปรับตัวขึ้นสูง คาดไตรมาส1/55 อยู่ระหว่าง 2.5 - 2.6 หมื่นบาทต่อทองคำ 1 บาท ส่วนทั้งปีลุ้นทำสถิติที่ 2,000 เหรียญ/ออนซ์ เหตุเฮดจ์ฟันด์ และบรรดากองทุนยังเข้าสะสม แม้เม็ดเงินบางส่วนไหลไปถือดอลลาร์ อีกทั้งหลายประเทศยังต้องฟื้นฟูตัวเองจากภัยธรรมชาติ ทำให้มีการระดมเงินจำนวนมาก พร้อมคาดเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯจะมีนโยบายใหม่ๆออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับวิกฤตหนี้ยุโรปจะเริ่มเห็นความชัดเจนช่วงกลางปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำไปต่อ

นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวถึง ภาวะราคาทองคำในปี2555 ว่าในไตรมาสที่1/55ราคาทองคำยังสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกเล็กน้อย โดยมองว่าราคาทองคำจะอยู่ที่ระดับ 1,750-1,800 เหรียญ/ออนซ์หรือ25,000-26,000 บาท ซึ่งปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้ทองคำยังอยู่ในช่วงขาขึ้นได้คือการทยอยซื้อทองคำเก็บสะสมของกองทุนต่างๆเพื่อเก็งกำไร เนื่องจากทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงและไม่มีความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้อทำให้ทองคำยังที่น่าสนใจมากกว่าหุ้นหรือน้ำมันถึงแม้ว่าในช่วงระยะสั้นที่ผ่านมาจะมีการทิ้งการลงทุนในทองคำหันไปถือเงินสกุลดอลลาร์มากขึ้น แต่ถ้าพิจารณาดูจากข้อมูลแล้วจะเห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลดอลลาร์ยังไม่มีเสถียรภาพมากพอเนื่องจากค่าเงินได้ปรับตัวขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา และตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯยังไม่ดีขึ้นโดยยังอยู่ในระดับ8.7%ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง

ขณะที่ตัวเลขการบริโภคในช่วงปลายปีที่ผ่านมานั้นจะไม่สามารถที่จะบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้อย่างชัดเจนนัก นอกจากนี้ราคาทองคำยังได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติของประเทศในภูมิภาคเอเชียเช่น ญี่ปุ่นและไทยซึ่งต้องเผชิญในช่วงที่ผ่านมาทำให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆเหล่านั้นได้รับผลกระทบอย่างมาก จนมีผลทำให้ต้องระดมเงินจำนวนมหาศาลเพื่อมาฟื้นความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งภาคการผลิตภาคการเกษตร และภาคบริการทำให้ราคาทองคำได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นราคาทองคำในประเทศมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปที่ถึงบาทละ24,000-28,000บาท

สำหรับปริมาณการซื้อขายทองคำในรอบปีที่ผ่านมาลดน้อยลงไปกว่า 30 %โดยมีสาเหตุมาจากประชาชนทั่วไปต้องนำทองคำที่สะสมไว้ออกมาขายเพื่อนำเงินไปซ่อมแซมบ้านเรือนของตนเองที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนทำให้ปริมาณการซื้อขายได้ลดลงตามไปด้วย

ด้านนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส ได้กล่าวถึงภาวะทองคำในปี 2555ว่าราคาทองคำจะปรับขึ้นไปที่ระดับราคา 1,450-2,000 เหรียญ/ออนซ์ โดยมองว่าการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในขณะนี้เป็นไปตามวัฎจักรในรอบ12ปี/ครั้ง โดยราคาทองคำจะมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงซึ่งในปีหน้ายังอยู่ในช่วงขาขึ้นแต่จะปรับตัวสูงขึ้นไม่มากนัก โดยปัจจัยบวกที่สนับสนุนมาจาก ในช่วงกลางปี2555 สหรัฐฯจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ทำให้เชื่อว่าจะมีมาตรการในการหาเสียงโดยเฉพาะนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจรวมทั้งโครงการประชานิยมที่จะออกมาเพื่อเอาใจชาวอเมริกันให้สนับสนุนตนเองเป็นสมัยที่สอง
ขณะที่ปัจจัยลบยังหนีไม่พ้นเรื่องวิกฤตในกลุ่มประเทศยูโรโซนที่ยังขาดความชัดเจนในนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้และไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติได้ แต่เชื่อว่าช่วงกลางปี2555 จะมีความชัดเจนในมาตรการแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยจะส่งผลต่อราคาทองให้ปรับตัวดีขึ้น

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจีบูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่าสถานการณ์ทิศทางราคาทองคำขณะนี้มีการเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่อิงกับเงินสกุลยูโรสังเกตุได้จากความสัมพันธ์ของราคาทองคำกับค่าเงินสกุลยูโรซึ่งในระดับ 10วัน อยู่ที่ 90% ขึ้นไปทำให้กระแสข่าวทางฝั่งยุโรปค่อนข้างที่จะมีความสำคัญต่อราคาทองคำอย่างมากในช่วงนี้ แต่ทั้งนี้ยากต่อการคาดการณ์ทำให้ในระยะสั้นราคาทองคำยังคงมีความผันผวนตามกระแสข่าวยุโรปเป็นหลักซึ่งคาดการณ์กรอบการเคลี่อนไหวระหว่าง 1,550-1,680 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ23,000-25,000 บาท/บาททองคำ

โดยทิศทางการลงทุนทองคำจากนี้จนถึงสิ้นปีมองว่ายังเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนที่จะเข้าทยอยซื้อสะสมสำหรับการลงทุนในระยะกลางและระยะยาวเนื่องจากราคาปรับตัวลดลงมาจากปัญหาหนี้ยุโรปที่ยังกดดันตลาดต่อเนื่องโดยในช่วงเกือบ 2 สัปดาห์ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวค่อนข้างรุนแรงและปรับตัวลงกว่า145 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,559 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่ทองคำแท่งในประเทศทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 23,650บาทต่อบาททองคำเช่นเดียวกัน ประกอบกับสถิติในช่วงปี 2552-2553ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าราคาทองคำในช่วงปลายปีจนถึงต้นปีมักจะมีการปรับตัวลงในช่วงปลายปีเป็นลักษณะของการปรับฐานของราคาทองคำแต่หลังจากเดือนกุมภาพันธ์ทิศทางของราคาทองคำจะมีการกลับตัวเปลี่ยนเป็นทิศทางขาขึ้น

นางพวรรณ์ กล่าวว่า ในปีนี้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในบริเวณ1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากวัดจากต้นปีจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 35.20%แม้ว่าจะเกิดแรงขายบางช่วงเวลาที่ทำให้ราคาทองคำอ่อนตัวลงมาบ้างแต่เชื่อว่าราคาทองคำในสิ้นปีนี้จะสามารถยืนเหนือ 1,650 ดอลลาร์/ออนซ์หรือประมาณ 24,210 บาท/บาททองคำได้ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจะอยู่ที่16.45% มากกว่าการลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตร

สำหรับในปีหน้าวายแอลจีประเมินว่าราคาทองคำจะยังมีความน่าสนใจไม่แพ้กับในปีนี้เนื่องจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปและสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำซึ่งวายแอลจีเชื่อว่าราคาทองคำจะมีความผันผวนจนสามารถจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดทองคำมากขึ้นโดยทิศทางราคาทองคำในปี 2555ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในระยะยาว

โดยในช่วง 3เดือนแรกคาดการณ์ว่าราคาทองคำยังคงอยู่ในช่วงของการปรับฐานราคาประเมินกรอบราคา 1,460 - 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 21,400 - 27,200บาทต่อบาททองคำ และคาดว่าราคาจะค่อยๆขยับตัวขึ้นในลักษณะ sideway upจนถึงปลายปี ซึ่งประเมินกรอบราคาถึงปลายปี 2555 ที่บริเวณ 1,600 - 2,000ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 23,500 - 29,370 บาทต่อบาททองคำ