วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

ระวัง "หุ้นอภินิหาร"

คอลัมน์ "รอบรู้ตลาดทุน" โดย.......มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com)




ผมได้เห็นหุ้นบางหุ้น มีมูลค่าตลาดสูงขึ้นจากต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี สามารถมีมูลค่าสูงขึ้นเป็นกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งๆที่ กำไรจากการดำเนินการปกติดูแทบจะไม่มีอะไรเมื่อถึงเวลาแห่งการพิพากษา (Judgment Day) ภายในเวลาเพียง 7 วันทำการ หุ้นสามารถตกลงมาจากมูลค่าตลาด ประมาณ 21,000 ล้านบาท ลงมาแวะจุดต่ำสุดประมาณ 30 ล้านบาท ก่อนตีกลบขึ้นไปปิดที่ประมาณ 1,000 ล้านบาทผมเห็นแล้วเป็นห่วง อยากที่จะเสนอข้อมูลและความเห็นหลายประการ ดังนี้

1.หุ้นอภินิหารมีเป็นจำนวนน้อยในตลาดหลักทรัพย์ ประชาชนส่วนใหญ่ทั่วโลก อยากเห็นตลาดหุ้นเป็นแหล่งการลงทุนที่ดี ให้ผลตอบแทนที่ดี และไม่เสี่ยงเกินไป หลายคนจะกลัวสภาวะเช่นนี้ที่ โดยไม่ทันรู้ตัว หุ้นตกลงมามากมาย หมดเนื้อหมดตัว ผมขอบอกว่า สำหรับหุ้นส่วนใหญ่ จะไม่เป็นเช่นนั้น หุ้นที่ขึ้นลงอย่างไม่มีเหตุผล มีอย่างมากประมาณ 10-20 หุ้นจากทั้งตลาด 477 หุ้น

2.หุ้นดีๆ มีเป็นจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะเป็นจังหวะที่ดี เช่น ปตท. ปูนซิเมนต์ไทยฯ ธนาคารใหญ่ๆ แลนด์แอนด์เฮาส์ เซ็นทรัลพัฒนา แอดวานซ์ ดีแทค บ้านปู ซีพีออล (7-11) ฯลฯ มีมากมาย แม้จะตกลงมาตามสภาวะตลาด แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งจะมีแรงรับ ถึงจุดหนึ่งเราจะวางใจว่า มันแทบจะไม่มีที่จะตกต่ำลงไปกว่านี้สักเท่าไรแล้ว จึงลงทุนรอได้ รับปันผลได้ และสภาวะที่ตลาดหุ้นลงมามากๆเช่นนี้ จะเปิดโอกาสตามหลักการที่ว่า "ทุกครั้งหลังวิกฤต ย่อมมีสิทธิเกิดเศรษฐีใหม่" ซึ่งทางกิมเอ็งได้ขายดีวีดีโครงการความรู้สู่ผู้ลงทุน ชุด "ทุกครั้งหลังวิกฤต ย่อมมีสิทธิเกิดเศรษฐีใหม่" ถือเป็นเทศกาล "Amazing Thailand Grand Sales" ในงาน "Set in The City" ที่ผ่านมา โดยจะนำรายได้ไปผลิตดีวีดีเพิ่มเพื่อแจกไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วประเทศ

3.นักลงทุนควรจะรู้จักหุ้น มากกว่าที่จะเล่นเพราะหวือหวาดี ในยุคหุ้นอภินิหาร บางกลุ่มเคยได้รับฉายาว่า "หุ้นกลุ่ม 7 ดาวเหนือ" ผมเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ เพื่อนก็มาชวนว่า "เจ้าภาพจะเล่น 5 ตัวนี้" ผมไม่เชื่ออยู่ 2-3 วัน แล้วหุ้นก็ขึ้นโชว์ ต่อมาผมก็จึงอยากเสี่ยงบ้าง เข้าไปซื้อ 2 ตัว สิ้นวันม้าก็เข้าเส้นชัย ปรากฏว่า 3 ตัวที่ไม่ได้ซื้อขึ้น แต่อีก 2 ตัวลง พี่บางคนสอนผมว่า เจ้าภาพมักใช้สูตร "ลากโชว์ ยังไม่เข้า ก็ลากขึ้นไป รายย่อยเข้า ก็ทุบลง รายย่อยถือ ก็กดต่ำไว้ รายย่อยขาย ก็ลากขึ้นใหม่" หากเทียบเหมือนพนัน ก็คล้ายการแทงม้า ซึ่งเจ้ามือ สามารถเลือกได้ว่าจะเอาม้าตัวไหนเข้า แต่ข่าวร้ายคือ ผมติดตามเรื่องอย่างนี้มานาน ไม่ค่อยเคยเห็น "เจ้าภาพ" ทำหุ้นเพื่อ "แจกเงิน" เลย ใครที่ทะนงตนถือว่า "ตาดีก็ได้ ตาร้ายก็เสีย" ก็ขอให้ระมัดระวังด้วย อีกครั้ง หุ้นดีๆในตลาดมีมากมาย ไม่มีอภินิหาร แต่จะขึ้นลงด้วยเหตุผล ซึ่งเราก็ศึกษา และจะฝึกคาดการณ์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ หุ้นดีๆหลายหุ้นก็ลงมา แต่จะไม่เห็นปรากฏการณ์ที่มูลค่าตลาดตกจาก 2 หมื่นล้านบาท มาเหลือเพียง 1 พันล้านบาทใน 7 วัน !!

4.โอกาสทอง "Amazing Thailand Grand Sales" สำหรับผู้ที่ยังไม่ลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนประเทศไทยปัจจุบันมีเพียงประมาณ 1 ล้านบัญชี เป็นบัญชีที่มีการเคลื่อนไหวเพียง 2-3 แสนบัญชีเท่านั้น จากประชากร 65 ล้านคน ที่ไต้หวัน มีนักลงทุนถึง 8 ล้านคน จากประชากรเพียง 23 ล้านคน ผมเชื่อว่า เมื่อประชาชนมีความรู้ดีขึ้น ฐานะดีขึ้น ก็น่าจะมีโอกาสเข้ามาลงทุนในตลาดมากขึ้นจุดอ่อนของนักลงทุนใหม่ก็คือ หากยังเห็นคาตาว่าหุ้นตกลงมามากๆ ก็จะกลัว หลายๆคนมักจะรอจนเห็นว่า ใครๆเข้าไปลง ก็ได้กำไรบ่อยๆ อย่างกว้างขวาง จะเชื่อ ซึ่งประมาณหลักการว่า "เห็นหุ้นขึ้นจะมั่นใจจึงได้เข้า เห็นหุ้นเน่าจนเศร้าใจจึงได้ขาย" ซึ่งหุ้นขึ้นมากแล้ว จะเผชิญความเสี่ยงที่หุ้นแพง แต่หุ้นที่ลงมาถูก แบบ Thailand Grand Sales อย่างนี้ จะเป็นการเข้ามาลงทุนที่ได้เปรียบด้านต้นทุน และช่วงนี้ก็ดีด้วยที่ไม่ต้องรีบร้อน รอเก็บวันอารมณ์ไม่ค่อยดี หรืออารมณ์ตกใจ และเมื่อขึ้นมา แล้วยังเห็นว่าเรื่องราวยังไม่จบง่ายๆ ก็ ลดพอร์ตลงไปบ้าง จะได้เก็บกำลังลงมาเก็บหุ้นตอนตกใจอีก ก็สามารถทำได้เช่นกัน

ดีวีดีชุด "ทุกครั้งหลังวิกฤต ย่อมมีสิทธิเกิดเศรษฐีใหม่" ยังได้ยกตัวอย่างโอกาสหลังวิกฤตในช่วงต่างๆในอดีต หลักการ "ลงทุนอย่างไรไม่ให้เป็นแมลงเม่า" หลักการ "ลงทุนแบบสม่ำเสมอเพื่อวัยเกษียณ (ASAM: Automatic Saving Aiming Millionaires)" การวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆที่กระทบต่อทิศทางตลาดหุ้น และหุ้นแต่ละกลุ่ม ทางเลือกในการลงทุนในกองทุนกระจายความเสี่ยง เช่น TDEX สำหรับหุ้น SET50 ซึ่งเป็นหุ้นชั้นนำที่หลากหลายประมาณ 50 หุ้น และ ENGY ซึ่งเป็นหุ้นที่ลงในหุ้นหลายๆหุ้นในกลุ่มพลังงาน แนะนำการลงทุนผ่านอินเตอร์เน็ต และการเปิดบัญชีกับกิมเอ็ง หากท่านผู้อ่านสนใจโปรดติดต่อได้ที่ www.kimeng.co.th หรือ โทร 02-658-5050 "ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์" และติดต่อได้ตามสาขากิมเอ็งทุกแห่งครับ

หมายเหตุ : เนื่องจากมีความผิดพลาดเล็กน้อย จึงได้นำบทความพิเศษ โดย "ไทยทน" มาลงในคอลัมน์ "รอบด้านตลาดทุน" โดย คุณมนตรี ศรไพศาล ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9510000139497

บ้านมือสองปีนี้หืดขึ้นคอ ชี้ คนหันซื้อบ้านใหม่หลังสต๊อกในตลาดเพียบ

บ้านมือสองปีนี้หืดขึ้นคอ ชี้ คนหันซื้อบ้านใหม่หลังสต๊อกในตลาดเพียบ

“บิ๊ก เรียลตี้ เวิลด์ฯ” ชี้ปี 54 ตลาดบ้านมือสองยังหืดจับ ไม่มีปัจจัยบวกกระตุ้นตลาด แถมคนหันซื้อบ้านใหม่หลังสต๊อกในตลาดเพียบ ส่วนดอกเบี้ยคาดทั้งปีขึ้น 0.5-1% ไม่ทำต้นทุนบ้านใหม่เพิ่มมาก ขณะที่ข้อกำหนด LTV 95% ในภาวะเศรษฐกิจดีไม่มีผลกระทบ ระบุบ้านมือสอง-คอนโดในเมือง ยังไปได้ ส่วนแผนเรียลตี้ เวิลด์ตั้งเป้าขาย 3,200 ล้านบาท

นายวิศิษฐ์ คุณาทรกุล ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัทเรียลตี้ เวิลด์ อัลไลแอนซ์ จำกัด บริษัทตัวแทนนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ตลาดบ้านมือสองในปี 2553 ที่ผ่านมายังมีอัตราการเติบโตติดลบประมาณ 10% ต่อเนื่องจากปี 2552 ขณะที่ที่ดินเปล่ามีการเติบโตขึ้นทั้งในแง่ของจำนวนและราคาซื้อขายที่เพิ่มขึ้น

โดยผลกระทบหลักมาจากปัญหาการเมืองในช่วงครึ่งปีแรก แม้ว่าจะมีเรื่องมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลมาช่วยหนุนตลาดแล้วก็ตาม นอกจากนี้ยังมีจำนวนบ้านใหม่ในตลาดจำนวนมาก ประกอบกับราคาขายไม่สูงมากเนื่องจากการแข่งขันของผู้ประกอบการ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ ลูกค้าวงเงินดาวน์เพียง 5% ก็สามารถกู้ซื้อบ้านได้ ทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อบ้านใหม่มากกว่าบ้านมือสอง อย่างไรก็ตามตลาดบ้านมือสองชะลอตัวมาตั้งแต่ปี 2551 แต่เห็นภาพชัดเจนในปี 2552 ที่ตลาดบ้านมือสองชะลอตัวลงกว่า 10%

ทั้งนี้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตัวแทนนายหน้าอสังหาฯ หรือ โบรกเกอร์ หายไปจากตลาดเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะรายเล็ก ธุรกิจในครอบครัว ทำให้ในปัจจุบันเหลือบริษัทตัวแทนนายหน้าฯขนาดใหญ่และขนาดกลางเพียงไม่กี่รายในตลาด เพราะในความเป็นจริงแล้วธุรกิจโบรกเกอร์อสังหาฯ ไม่ได้สร้างรายได้จำนวนมากๆ เช่นในภาวะเศรษฐกิจดีมากๆ หรือในภาวะที่เริ่มฟื้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ

สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านมือสองในปี 2554 นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดจะชะลอตัวต่อเนื่องต่อจากปีที่แล้ว แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะยังคงมีอัตราการเติบโต รวมไปถึงสถานการณ์การเมืองที่เริ่มนิ่งมากขึ้นแล้วก็ตาม เพราะตลาดบ้านใหม่ยังมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 53 ทำให้ลูกค้าหันไปซื้อบ้านใหม่แทน นอกจากนี้ต้นทุนในการซื้อ-ขาย เปลี่ยนมือบ้านมือสองยังอยู่ในอัตราที่สูง 6-8% ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ภาษี ที่ผู้บริโภคต้องแบกรับ ทำให้ตลาดนี้ได้รับความสนใจน้อยลง

ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 0.5-1.0% ในปี 54 ถือว่าปรับขึ้นไม่สูงมาก เพราะหากดอกเบี้ยเพิ่ม 1% จะทำให้ภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 บาท/ปี สำหรับวงเงินกู้ 1 ล้านบาท หรือทำให้ภาระค่างวดเพิ่มขึ้นประมาณ 800 บาท/เดือน นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันถือว่าต่ำมาก จึงไม่มีผลมากจนทำให้คนหันมาซื้อบ้านมือสองแทนบ้านเดี่ยว ขณะที่มาตรการ LTV กำหนดวงเงิน 95% สำหรับบ้านเดี่ยวถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีการขยายตัวที่ดี แต่หากในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวการใช้มาตรการควบคุมสินเชื่อในระดับนื้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม บ้านมือสองในเขตเมืองยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภค เนื่องจากที่ดินหายากและมีราคาแพง การซื้อบ้านมือสองแล้วนำมาปรับปรุงหรือซื้อเพื่อเอาที่ดินรื้อบ้านเก่าทิ้งสร้างใหม่จึงเป็นวิธีการที่ยังได้รับความนิยม โดยประมาณการณ์ว่าบ้านมือสองที่มีการเสนอขายในเขตกรุงเทพมีประมาณ 70,000-80,000 ยูนิตต่อปี จากจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมด 3 ล้านหลังคาเรือน

นอกจากนี้ คอนโดมิเนียมในเมืองยังเป็นที่นิยมมากขึ้น อีกทั้งจะมีจำนวนคอนโดฯมือสองมากขึ้นอีกด้วย จากการนำสินค้าที่เคยขายไปแล้วเมื่อ 2-3 ปีที่ที่ผ่านมากลับมาขายใหม่ อย่างไรก็ตามคอนโดฯ หรือบ้านมือสองที่เป็นที่ต้องการและขายได้ราคาจะต้องสร้างไม่เกิน 5 ปี มีการออกแบบและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ทันสมัย สภาพไม่เสื่อมโทรมมาก แต่หากเป็นบ้านเก่าหรือคอนโดฯ เก่าจะขายได้ในราคาที่ต่ำกว่ามากแม้จะอยู่ในทำเลใกล้เคียงกันก็ตาม

สำหรับแผนการดำเนินงานของ เรียลตี้ เวิลด์ฯ ในปี 54 ตั้งเป็ยอดขายไว้ที่ 3,200 ล้านบาท จากจำนวนสินทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ต 11,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นเอ็นพีเอของสถาบันการเงินที่บริษัทรับบริหารการขายให้ ได้แก่ ธนาคารทหารไทย 2,000 ล้านบาท และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท 2,000 ล้านบาท ซึ่งทหารไทยกำหนดยอดขายในปีนี้ไว้ที่ 65% หรือ 1,350 ล้านบาท ส่วนสุขุมวิท กำหนดยอดขาย 45% ซึ่งบริษัทเตรียมวางแผนการตลาดและจัดประมูลขายทรัพย์ในช่วงต้นปี 54 ส่วนผลการดำเนินงานในปี 53 มียอดขาย 3,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ต้นปีที่ 2,400 ล้านบาท

“ในปีนี้บริษัทจะคัดเลือกทรัพย์ที่จะรับเข้ามาดูแลสัญญาฝากขายมากขึ้น โดยจะเน้นบ้านที่มีคุณภาพ ราคาไม่สูงมาก เพราะหากเจ้าของบ้านตั้งราคาสูงเกินไปก็ไม่สามารถขายได้ จะต้องดูราคาตลาดในย่านนั้นๆด้วย นอกจากนี้การปรับปรุงบ้านมือสองให้อยู่ในสภาพดีก่อนขายจะช่วยให้สามารถขายได้ง่ายขึ้น ส่วนเอ็นพีเอราคาและทำเลยังเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค” นายวิศิษฐ์ กล่าว


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9540000000411

คาดราคาทองปีนี้แตะ 22,000 บาท “จิตติ” ชี้ กำลังซื้อฟื้น-เงินสะพัดเลือกตั้ง

คาดราคาทองปีนี้แตะ 22,000 บาท “จิตติ” ชี้ กำลังซื้อฟื้น-เงินสะพัดเลือกตั้ง

ผู้บริหาร YLG มองราคาทองคำปีนี้ แนวโน้มทะยานขึ้นแตะ 22,000 บาท โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก พร้อมเตือนให้ระมัดระวังความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา “จิตติ” เชื่อ ธุรกิจร้านค้าทองปีนี้ ปรับตัวดีขึ้นแน่ หลังสัญญาณการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งจะมีเงินสะพัดมาก ทั้งยังมีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน เงินเดือน ขรก.-อบต.ประชาชนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น บางส่วนจะมีการซื้อทองคำเก็บ และซื้อเป็นของขวัญในเทศกาลต่างๆ ทั้งปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์


น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ทิศทางราคาทองคำในปีนี้ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก คาดจะทำสถิติใหม่ระหว่าง 1,500-1,600 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ทรอยออนซ์ ส่วนราคาขายในประเทศจะเคลื่อนไหวระหว่าง 17,500-22,000 บาท/บาททองคำ เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ขณะที่แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง ราคาทองคำอาจจะปรับลดลงได้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาหนี้สาธารณะยุโรปได้รับการแก้ไขจนฟื้นตัว ทำให้นักลงทุนบางส่วนจะหันไปถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐแทนทองคำ

อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาวต้องระวังความผันผวนของราคาทองคำในปีนี้ และต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำทั้งสิ้น โดยราคาแกว่งตัวได้ถึง 30-50 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ทรอยออนซ์ หรือประมาณ 300-500 บาท สำหรับนักลงทุนระยะสั้นสามารถทยอยสะสมทองคำที่ระดับ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ทรอยออนซ์ หรือประมาณ 18,000 บาท/บาทได้

ส่วนการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สในตลาดอนุพันธ์นั้นมีแนวโน้มการเติบโตขึ้นมาก คาดว่า จะเติบโตขึ้น 5 เท่าในปีนี้จากปีที่ผ่านมาเติบโต 3 เท่า หลังจากที่มีการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 10 บาท ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2553 ทำให้จำนวนนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับจะมีขยายเวลาการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สช่วงกลางคืนถึงเวลา 22.30 น.เพื่อให้คาบเกี่ยวกับการซื้อขายทองคำในตลาดนิวยอร์ก คาดว่าจะส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-30

ด้าน นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทองคำในปีนี้ มีแนวโน้มที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ แต่คาดว่าไม่น่าจะเกินระดับ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ เพราะเชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐและยุโรปได้ผ่านจุดเลวร้ายที่สุดไปแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ดังนั้นราคาทองคำปีนี้จึงมีความผันผวนในทิศทางขาขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก แต่จะไม่ปรับขึ้นแรงเหมือนกับ 2 ปีที่ผ่านมา

“ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมามากแล้วตั้งแต่ 700 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ มาถึง 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ปรับขึ้นถึงเท่าตัว ดังนั้นโอกาสที่จะปรับขึ้นแรงเหมือนกับที่ผ่านมาค่อนข้างยาก ยกเว้นจะมีสถานการณ์โลกที่สร้างความตื่นตระหนก”

ส่วนราคาขายทองคำในประเทศก็สอดคล้องกับตลาดโลก คาดว่า ทองคำแท่งจะปรับขึ้นสร้างสถิติใหม่เกิน 20,150 บาท ต่อบาททองคำ โดยความผันผวนของราคาขึ้น-ลง ใกล้เคียงปี 2551 ที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาประมาณ 400-500 บาท ต่อวัน ซึ่งยังเป็นโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้

ขณะที่ธุรกิจร้านค้าทอง คาดว่าในปีนี้จะดีขึ้น เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งปกติจะมีเงินสะพัดมาก ประกอบกับจะมีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนข้าราชการ และ อบต. ประชาชนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น คาดว่าบางส่วนจะมีการซื้อทองคำเก็บ และซื้อเป็นของขวัญในเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ เป็นต้น


ที่มา
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9530000184990