วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

รู้จักคำว่า "เงินฝาก" ดีพอหรือยัง

ไม่น่าเชื่อนะครับ เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ทั้งๆที่เป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ แต่ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่ค่อยจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “เงินฝาก” สักเท่าไร ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ต่างก็มีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อย่างน้อยหนึ่งบัญชีกันทั้งนั้น

ที่เป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะ “บัญชีเงินฝากออมทรัพย์” กับธนาคารพาณิชย์ คือ บัญชีเงินฝากที่เรามีไว้เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง อำนวยความสะดวกในการรับ และจ่ายเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกวันนี้คนส่วนใหญ่จะเปิดบัญชีฝากออมทรัพย์พร้อมไปกับการทำ“บัตรเงินด่วน” เอทีเอ็ม เพื่อไว้กดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงในประเทศได้ภายในไม่กี่วินาที แต่เงินฝากประเภทอื่นๆกลับเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับใครหลายๆคน

ตามสถิติในช่วงปลายปี 2552 มีจำนวนบัญชีเงินฝากรวมกันประมาณ 76 ล้านบัญชี คิดเป็นเม็ดเงินทั้งระบบเกือบ 7 ล้านล้านบาท แต่สังเกตไหมครับ88.6% หรือกว่า 67.5 ล้านบัญชี มียอดเงินฝากไม่ถึง 50,000 บาท คิดเป็นเม็ดเงินเพียงแค่ 2.84 แสนล้านบาท หรือเพียง 4% ของยอดเงินฝากทั้งระบบ

ในเวลาเดียวกัน คนที่มีเงินในบัญชีเกิน 1 ล้านบาท ไปจนถึง 500 ล้านบาทขึ้นไป มีไม่ถึง 2%หรือไม่ถึง **9 แสนบัญชี** แต่มีเม็ดเงินรวมกันถึงราว **5 ล้านล้านบาท**

เห็นภาพอย่างนี้แล้ว ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า คนไทยยังมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านรายได้มากมายขนาดไหนใช่ไหมครับ

ในจำนวนบัญชีเงินฝากเหล่านี้ แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เพราะตราบใดที่เงินในบัญชีออมทรัพย์ของคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในสภาพ “ปริ่มน้ำ” ก็คงไม่มีใครสนใจที่จะดิ้นรนหรือคิดจะโยกย้ายเงินเพื่อไปหาผลตอบแทนอย่างอื่นที่ดีกว่า แต่เมื่อคุณมีเงินเหลือใช้ การนั่งดูตัวเลขเงิน ในบัญชีและเผลอ“ยิ้ม” ไปกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเพียงแค่นั้น คงเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดสักเท่าไร เพราะมันเป็นบัญชีที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำมากๆๆๆ คือเพียงประมาณ 0.75% ต่อปี

ที่น่าเสียดายก็คือ มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ปล่อยโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองหลุดลอยไปวันแล้ววันเล่า โดยเฉพาะคนที่เพิ่งสามารถเก็บหอมรอมริบ จนสามารถมีตัวเลขในบัญชีทะลุหลักแสน หรือหลักล้านบาทได้สำเร็จ คนกลุ่มนี้บางครั้งมัวแต่ “แอบปลื้ม”ไปกับตัวเลขเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นทุกๆเดือนของตัวเอง แต่ไม่เคยคิดจะเคลื่อนย้ายเงินออกไปเพื่อให้มันช่วยเราทำงานแทนเรา

“บัญชีเงินฝากประจำ” คือ การลงทุนสร้างผลตอบแทนอย่างหนึ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ มีความมั่งคงสูง แต่อาจจะได้ผลตอบแทนไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น

ปัจจุบันบัญชีเงินฝากประจำจะมีอยู่ 2 รูปแบบ รูปแบบแรก คือ การฝากประจำที่กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ฝากต้องนำเงินไปฝากทุกเดือนเท่าๆกันจนกว่าจะครบตามระยะเวลา จึงจะได้รับอัตราดอกเบี้ยตามที่กำหนด ซึ่งมีข้อดีคือ ผู้ฝากจะไม่ต้องเสียอัตราภาษี หัก ณ ที่จ่าย 15% จากดอกเบี้ยที่ได้รับ เนื่องจากรัฐบาลถือว่าเป็นการส่งเสริมการออมอย่างหนึ่ง

เงินฝากประจำในรูปแบบนี้จะเหมาะสำหรับ คนที่ต้องการจะเริ่มต้นออมเงินในแต่ละเดือนและต้องการสร้างวินัยให้กับตัวเองในทางอ้อม หรืออาจจะมีเป้าหมายการออมไว้เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในวัตถุประสงค์บางอย่างที่กำหนดระยะเวลาไว้ในอนาคต

รูปแบบที่สอง คือ การฝากประจำด้วยเงินก้อนครั้งเดียว โดยมีกำหนดระยะเวลา และ อัตราผลตอบแทนในแต่ละช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งแต่ละธนาคารฯจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน แต่อยู่บนหลักการว่า หากฝาก “ล็อค”เอาไว้ยิ่งนานก็ยิ่งได้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

แต่คำแนะนำในสภาพแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วง “ขาขึ้น” อย่างในปัจจุบัน คุณควรฝากเงินระยะสั้นๆมากกว่า เพื่อให้เกิดสภาพคล่องหากต้องการโยกย้ายเงินไปหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นอีกในอนาคต

อย่างไรก็ตาม หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ในช่วงนธี้ นาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เริ่มทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงขึ้น และมีการแข่งขันกันนำเสนอโปรโมชั่น รูปแบบการฝากประจำที่พยายามจูงใจให้กับผู้ฝาก โดยส่วนใหญ่จะพยายามนำเสนออัตราดอกเบี้ยในลักษณะของ “ขั้นบันได” โดยพยายาม“ชู” อัตราดอกเบี้ยสูงสุดในช่วงท้ายๆของระยะเวลาเป็น “จุดขาย” หรือบางแห่งก็พยายามพลิกแพลง โดยการจ่ายดอกเบี้ยให้ล่วงหน้า

กลยุทธ์อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได บางครั้งอาจทำให้เรา “ตาลุก” เมื่อได้เห็นหรือได้ยิน ตัวเลขคำว่า “ดอกเบี้ยสูงสุด” แต่พอดูรายละเอียดแล้ว อาจจะให้ผลตอบแทนสูงสุดเฉพาะ 1-2 เดือนสุดท้ายของระยะเวลาเพียงเท่านั้น

การออกโปรโมชั่นเงินฝากในรูปแบบนี้ จึงอาจทำให้ผู้ฝากเงินเกิดความสับสน และลังเล ยิ่งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้ หลายคนอาจจะเกรงว่าจะเป็นการเสียโอกาส หากอัตราดอกเบี้ยขยับขึ้นไปอีก

เพราะอย่างนั้น เมื่อคุณต้องการโยกเงินมาลงในบัญชีเงินฝากประจำในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นแบบนี้โจทย์ใหญ่ที่ต้องตอบให้ได้ก็คือ เงื่อนไขของระยะเวลาการฝากที่สามารถถอนออกได้ก่อนกำหนด โดยยังคงสามารถรักษาสิทธิ์ได้รับอัตราดอกเบี้ยตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ ก่อนที่จะนำไปเปรียบเทียบว่าธนาคารฯใดที่ให้ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสูงสุด

นอกเหนือจากนี้ การคิด“อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย” ที่จะได้รับ หากฝากครบกำหนดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องนำมาเปรียบเทียบด้วย แต่โจทย์สำคัญคือ การหาผลตอบแทนระยะสั้นสูงที่สุดเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจมากกว่า

ขณะเดียวกัน เพื่อเปิดโอกาสให้เราสามารถถอนเงินบางส่วนออกมาจากบัญชีฯได้ ในตอนฝากถึงแม้จะฝากทั้งจำนวน แต่ก็สามารถแตกออกเป็นก้อนย่อยๆในบัญชี เพื่อให้ไม่จำเป็นต้องถอนหมดทั้งจำนวน หากต้องการจะโยกย้ายเงินไปฝาก หรือ ลงทุนในทางเลือกอื่นในอนาคต

นอกจากเงินฝากประจำแล้ว “ตั๋วแลกเงิน” หรือ BE-Bill of Exchange ก็เป็นตราสารระยะสั้นอีกประเภทหนึ่งที่ธนาคารพาณิชย์จะเสนอให้กับผู้ฝากเงิน โดยมีกำหนดระยะเวลา และอัตราดอกเบี้ยที่จะสูงกว่า อัตราดอกเบี้ยจากเงินฝากประจำเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ จะกำหนดวงเงินขั้นต่ำเอาไว้ค่อนข้างสูง ซึ่งทำให้ผู้ฝากรายย่อยมีโอกาสเข้าถึงได้ยาก

ทางเลือกในการนำเงินออมที่มีไปลงทุนในการฝากประจำจึงเหมาะที่จะเป็นหนทางในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนสำหรับก้าวแรกๆของการเริ่มต้นสร้างเม็ดเงินในเส้นทางของการสร้างความมั่งคั่งก่อนที่จะเริ่มไปสู่ทางเลือกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้อย่าง พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม หรือ หุ้น

มาถึงตรงนี้ ใครที่ยังมัวแต่เอาเงินออมที่มีอยู่ไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ฯอยู่อีกก็คงต้อง”ลุกขึ้นมาทำการบ้านกันแล้วละครับ

ที่มา
คอลัมน์ 101 ปฏิบัติการพลิกชีวิต ผู้จัดการออนไลน์

เทคนิคออมเงินง่ายๆ สไตล์ ติ๊ก ชีโร่

แบ่งรายได้ เล่นแชร์กับตัวเอง เทคนิคออมเงินง่ายๆ สไตล์ ติ๊ก ชีโร่

เมื่อมีรายได้เข้ามา 10 บาท เราควรแบ่งเก็บไว้ 2 บาท หรืออาจจะมี 10 บาท อาจจะเก็บไว้ 1 บาท ก็ได้ เพราะแต่ละคนรายได้ที่เข้ามาและรายจ่ายไม่เท่ากัน แต่อยากให้จำไว้เสมอว่าเมื่อมีรายได้เข้ามาให้แบ่งเก็บทันที เหมือนเราเป็นการเล่นแชร์กับตัวเอง พอวันหนึ่งเรากลับมาดูเงินในบัญชี ก็จะเห็นว่าเรามีเงินที่เก็บไว้มากแค่ไหน และเงินตรงนี้ก็ยังสามารถทำให้เราทำสิ่งที่เราอยากทำได้ด้วย"

ถ้าเอ๋ยชื่อ “โต้ชีริก ติ๊กชีโร่” เราจะนึกถึงหนุ่มอารมณ์ดีที่ชอบทำอะไรแหวกแนวไม่เหมือนใคร ทั้งการพูดจาออกสื่อและการแต่งตัวที่แร๊งมาก ๆ แต่ในวันนี้หนุ่มติ๊กชีโร่ดูจะแตกต่างไปจากที่เคยเห็นเหมือนคนละคนไปเลย เมื่อเราถามถึงเรื่องปัญหาด้านเศรษฐกิจและการออมเงิน ซึ่งจะดูสุขุม จริงจังและน้ำเสียงราบเรียบดูราวกับไม่ใช่ "ติ๊กชีโร่" ที่เราเคยเห็นบนเวที ทำให้เราเห็นว่าหนุ่มคนนี้นอกจากจะมีดีในด้านของดนตรีแล้ว เขายังมีอะไรที่เราน่าค้นหาอีกเยอะมาก ๆ และเราลองมาดูสิว่าหนุ่มคนนี้เขามีแง่คิดอย่างไรกันบ้างกับการออมเงิน...

“ติ๊ก ชีโร่” เริ่มบอกว่า ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจในแถบเอเชียมีการแข่งขันกันอย่างมาก ถ้าจะมองไปถึงอนาคตแล้วศักยภาพในแถบเอเชียถือว่าดีกว่าแถบยุโรป หรืออเมริกาเสียอีก เพราะจะเห็นได้ว่าการผลิตรถยนต์ของประเทศจีนมีการขยายการผลิตมากที่สุด ฉะนั้นจึงเป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต ส่วนในบ้านเราภาพรวมของเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้นหรือดีขึ้นมาก เพราะเราได้ผ่านจุดต่ำสุดมากแล้ว และนักลงทุนก็เริ่มเชื่อมั่นกับประเทศไทยมากขึ้นด้วย

สำหรับธุรกิจ โดนัท “โด ดี โด” ในช่วงมีเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ยอมรับว่าธุรกิจของผมก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่พอรัฐบาลเข้ามาช่วยเราก็ดีใจ แต่ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปขอให้รัฐบาลช่วยเหลือแต่อย่างใด เพราะเราไม่ได้ผลกระทบโดยตรงเหมือนกับแม่ค้าหรือพ่อค้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุโดยตรง สำหรับธุรกิจดังกล่าวขณะนี้ถือว่าไปได้สวย โดยปัจจุบันเรามีอยู่ทั้งหมด 7 สาขา ได้แก่ แฟชั่นไอส์แลนด์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาลัยเอสแบค ตลาดยิ่งเจริญ มหาวิทยาลัยรังสิต เดอะมอลโคราช และคลังพล่าซ่าโคราช

ส่วนงานในวงการบันเทิงขณะนี้ “ติ๊ก” กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 10 ปี โดยใช้ชื่อว่า “ติ๊ก ชีโร่ ชัดเจน ไลฟ์ อิน คอนเสิร์ต” ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ นอกจากนี้แล้ว ยังมีงานศิลปะ music in art exhibition 4th by TIK SHIRO ซึ่งเป็นงานศิลปะครั้งแรกของโลกที่จะทำให้ภาพมีเสียง ด้วยระบบกลไกเทคโนโลยี ภายใต้แนวคิดmusic in art ซึ่งเราจะไปวาดกันที่ประเทศยุโรป รวมถึงเร็ว ๆ นี้จะมีภาพยนตร์เรื่อง “อีเห็ดสด” ด้วย

และจากรายได้ที่เข้ามาทั้งธุรกิจส่วนตัว หรืองานในวงการบันเทิง “ติ๊ก” บอกว่า “ผมไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญเรื่องเงินมากสักเท่าไหร่ เงินยังไม่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่สิ่งที่สำคัญคือเรื่องของจริยธรรมมากกว่า เช่นเราจะเห็นได้จากหลายคนที่หาเงินมาได้เยอะแยะแต่ไม่สามารถใช้ได้ก็มี โดนคนอื่นหลอก คนอื่นโกงก็มี เ แต่ถ้าเราอยู่อย่างพอดีและพอเพียงก็จะให้ชีวิตเรามีความสุข

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีรายได้เข้ามา “ติ๊ก” จะแบ่งเงินส่วนหนึ่งเป็นทุนการศึกษาของลูก อีกส่วนเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านและใช้กับงานด้านศิลปะที่เป็นงานที่รักมาก นอกจากนี้เงินจากการทำธุรกิจก็จะนำมาพัฒนาร้านปรับเปลี่ยนปรับปรุงธุรกิจเพื่อเป็นการต่อยอดอีกทีหนึ่ง

“ติ๊ก” บอกเพิ่มเติมว่า การออมเงินมาก ๆ ก็ถือว่าไม่ดี อาจจะให้โทษกับเราก็ได้ เพราะจะเห็นได้ว่าบางคนเอาแต่อดออมเงินไม่ยอมกินอะไรเลย ผลสุดท้ายตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ หรืออาจจะโดนเขาหลอกเขาโกงได้ แทนที่จะสบายก็ลำบากมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเราควรอดออมแต่พอประมาณ ออมอย่างมีสติ และมีเหตุผล


“ผมจะสอนลูกผมเหมือนกับที่คุณแม่เคยสอนผมเสมอว่า ถ้าอยากได้อะไรเราต้องได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง แล้วเราจะภูมิใจ ดูแลมันเป็นอย่างดี เราก็จะมอบสิ่งที่คุณแม่สอนนี้ให้กับคนในครอบครัวของเราด้วย เพราะตัวผมเองทำงานตั้งแต่อายุ 15 ปี ด้วยการับจ้างขายน้ำอัดลมในสนามฟุตบอล ต่อมาก็ได้เข้าไปทำงานในโรงงานไอศรีม วาดการ์ตูนขาย ทำหัตถกรรมต่าง ๆ สาเหตุที่ต้องทำหลายอย่างเพราะต้องการเก็บเงินซื้อเครื่องเสียงให้กับตัวเอง”

เมื่อว่างจากการทำงาน “ติ๊ก” บอกว่า “ถ้าผมว่างเมื่อไหร่ ผมมักจะชอบกอดลูก เพื่อให้ความรักกับเขาให้มาก ๆ เพราะเราทำงานตรงนี้เวลาที่จะให้กับครอบครัวมีน้อยมาก แต่ครอบครัวของผมอบอุ่นมากมีภรรยาที่ดี มีลูกที่น่ารัก นอกจากนี้แล้วถ้าว่างจากการทำงานหลาย ๆ วัน ผมก็จะท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ กับครอบครัว”

สุดท้าย “ติ๊ก ชิโร่” ฝากบอกว่า เมื่อมีรายได้เข้ามา 10 บาท เราควรแบ่งเก็บไว้ 2 บาท หรืออาจจะมี 10 บาท อาจจะเก็บไว้ 1 บาท ก็ได้ เพราะแต่ละคนรายได้ที่เข้ามาและรายจ่ายไม่เท่ากัน แต่อยากให้จำไว้เสมอว่าเมื่อมีรายได้เข้ามาให้แบ่งเก็บทันที เหมือนเราเป็นการเล่นแชร์กับตัวเองพอวันหนึ่งเรากลับมาดูเงินในบัญชีก็จะเห็นว่าเรามีเงินที่เก็บไว้มากแค่ไหน และเงินตรงนี้ก็ยังสามารถทำให้เราทำสิ่งที่เราอยากทำได้ด้วย เช่นถ้าใครอยากมีธุรกิจเล็ก ๆ ก็อาจจะทำได้ หรืออาจจะเก็บไว้ในยามฉุกเฉินก็ได้

ชื่อ - นามสกุล มนัสวิน นันทเสน (ติ๊ก ชีโร่)
วันเดือนปีเกิด 25 กันยายน 2504
การศึกษา กำลังศึกษาปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาตร์
มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
ปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ สาขาบริหารจัดการสาธารณะ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน สาขาศิลปกรรม
งานปัจจุบัน เจ้าของธุรกิจโดนัด “โด ดี โด”



ที่มา
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2553 11:39 น.

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

เป็นนักเก็งกำไรอย่างไรให้ดีที่สุด

ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกตก็คงพอจะทราบดีว่า ถึงแม้ผมจะสนับสนุนแนวคิดในเรื่องของการให้เงินทำงานผ่านทางเลือกในการลงทุนที่มีอยู่อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะ “หุ้น” แต่ผมก็ไม่
ค่อยจะสนับสนุนแนวคิดในการลงทุนในลักษณะการเก็งกำไร
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะที่ผ่านมาผมไม่ค่อยจะพบคนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในลักษณะดังกล่าวมากนัก ยกเว้นบรรดาขาใหญ่เงินหนา มากบารมีทางการเมือง แถมยังมีเครือข่ายยุบยับ ที่ประพฤติตัวเป็น “นักปั่นหุ้น” ที่อาศัยความโลภของคนอื่นในการทำเงิน ท้าทายกฏเกณฑ์ของทางการฯที่เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตัวกันมาโลดแล่นอยู่ในตลาดหุ้นฯทุกยุคทุกสมัย

ปัจจุบันถึงแม้บรรดา“นักเก็งกำไร” จะพยายามอาศัยวิธีการต่างๆในการวิเคราะห์หุ้น เช่นการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่หลายคนก็ยังสงสัยว่า หากวิธีการเหล่านี้ได้ผลดีจริงๆหรือ ทำไมนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่จึงยังขาดทุน ทั้งๆที่บางครั้งตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ “กระทิง”เสียด้วยซ้ำไป

ในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้น เราจะอาศัยข้อมูล และปัจจัยที่เป็นตัวแปรในด้านต่างๆซึ่งจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทฯ โดยวิเคราะห์ถึงความต้องการสินค้า และปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อทำการประเมินและคาดคะเนไปถึงผลประกอบการของบริษัทฯที่เราเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นโดยนอกเหนือจากต้องการผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลแล้ว เรายังหวังถึงกำไรที่จะได้จ่ากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) ที่จะได้รับ หากระดับราคาของหุ้นเพิ่มสูงขึ้น

แต่มันไม่ได้นำเอาพฤติกรรมของนักลงทุนมาวิเคราะห์รวมเข้าไปด้วย ต่อมาจึงเริ่มมีการหันมาใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคขึ้น ซึ่งในระยะแรกๆที่มันถูกนำมาใช้ในช่วงทศวรรษปี 70 นั้น มันถูกวิจารณ์ว่าเป็น “ปาหี่”หลอกต้มนักลงทุนด้วยซ้ำไป

หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเชื่อว่า “นักเก็งกำไร” คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในทุกๆตลาดและทุกๆช่วงเวลา และนักเก็งกำไรเหล่านี้มักจะทำสิ่งเดิมๆซ้ำไปซ้ำมา จนกลายเป็นพฤติกรรมตามหมู่ของฝูงชน ที่จะสังเกตเห็นได้จนเกิดเป็นสถิติที่น่าเชื่อถือขึ้นมา

บรรดานักวิเคราะห์ทางเทคนิค มักจะยืนยันว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น มีข้อได้เปรียบอยู่มากมาย เพราะมันคือการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจุบัน และผลจากในอดีต ซึ่งจะทำให้สามารถคาดคะเนถึงความเป็นไปได้ในอนาคตได้มากขึ้น
เพราะอย่างนั้น คุณจึงมักจะได้เห็นหรือได้ยิน บรรดานักวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่อาจจะเป็น“มาร์เก็ตติ้ง”ตามห้องค้า หรือ “นักวิเคราะห์” ในแวดวงโบรคเกอร์ที่มักจะให้คำแนะนำ เกี่ยวกับเรื่อง ของ “แนวรับ-แนวต้าน” “ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง” และ “กราฟ”สารพัดรูปแบบ เพื่อประกอบการคาดคะเนแนวโน้มของระดับราคาหุ้นในแต่ละวัน

แต่ผมคงต้องพูดตามตรงเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคว่า ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการช่วยให้คุณสามารถที่จะมีกำไรได้อย่างสม่ำเสมอครับ ต่อให้คุณเล่นตามตัวชี้วัด หรือ Indicator ต่างๆหรือ นั่งเพ่งมองหา “สัญญาณ” จากรูปแบบต่างๆในกราฟ ก็ไม่ต่างอะไรกับการ "ขูด”ขอ “หวย”ตามต้นไม้ประหลาดหรอกครับ

ถึงที่สุดแล้วมันก็ยังคงเป็นเพียงเครื่องมือวิเคราะห์ตัวหนึ่ง และนักเก็งกำไรมือสมัครเล่นส่วนใหญ่ก็ยังจะขาดทุนอยู่ดีครับ เพราะบ่อยครั้งที่บรรดามือสมัครเล่นเหล่านี้มักจะไม่ได้ลงมือกระทำในสิ่งที่ควรจะทำ ทั้งๆที่มีสัญญาณทางเทคนิคบอกเอาไว้

อะไรคือ*“กำแพง” ที่ขวางกั้น ระหว่างการวิเคราะห์ กับสิ่งที่บรรดมือสมัครเล่นปฏิบัติจริงๆMark J.Douglas เซียนหุ้นคนหนึ่งที่เขียนตำรา Trading in the Zone เรียกมันว่า “ช่องว่างทางจิตวิทยา”และช่องว่างนี้เองที่ทำให้ “การเก็งกำไร” เป็นสิ่งที่ยากยิ่งและต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย

การที่เราสามารถเห็นโอกาสบางอย่างขึ้นมาและทำในสิ่งต่างๆอย่างที่เราคิดนั้น ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ง่าย แต่นี่คือสิ่งที่แยกนักเก็งกำไรที่ล้มเหลวออกจากนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เครื่องมือทางเทคนิคชิ้นใหม่ล่าสุด หรือความสามารถในการวิเคราะห์ที่ละเอียดกว่าเดิม

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องเรียนรู้ที่จะคิดและสร้างทัศนคติในทางที่ต่างออกไปซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถตอบสนองต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดีพวกเขาได้เข้าถึงความเชื่อบางอย่าง ซึ่งช่วยให้สามารถรักษาวินัยและสมาธิเอาไว้ได้ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ ความเชื่อมั่นในตนเอง แม้ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดครับ

นักเก็งกำไรชั้นยอดนั้น ต้องสามารถซื้อ-ขายได้โดยไร้ความลังเลใจ แม้ในช่วงเวลาที่ขาดทุน พวกเขาทำสิ่งต่างๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยยอมรับถึงการขาดทุนที่เกิดขึ้นครับ
การเก็งกำไรได้ดีนั้น คือการที่คุณสามารถเช้าซื้อขาย ได้ตามกฎหรือระบบของคุณ ซึ่งไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะได้กำไรหรือขาดทุน และนี่คือสิ่งที่นักเก็งกำไรชั้นยอดทำครับ

Mark J.Douglas พูดเอาไว้ว่า นักเก็งกำไรที่ดี ต้องสามารถตัดขาดทุนได้ โดยไร้ความลังเลใจโดยไม่เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม และนี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างที่ทำให้สามารถในการที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า

หากว่าคุณขายมันทิ้งไปแล้ว หรือวันนี้จบลงแล้ว คุณต้องก้าวต่อไป คุณต้องเตรียมตัวสำหรับวันใหม่ และโอกาสใหม่ๆ แต่หากว่าคุณยังถูกครอบงำจากการเก็งกำไรครั้งที่เพิ่งคุณขาดทุนมา คุณจะถูกครอบงำโดยอารมณ์ และคุณจะไม่สามารถตั้งสมาธิไปยังโอกาสครั้งใหม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้นักเก็งกำไรมือสมัครเล่นส่วนใหญ่มักจะถือหุ้นที่ขาดทุนอยู่ก็เพราะ พวกเขายังคงรู้สึกเจ็บปวดจากการขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น และไม่ยอมรับถึงความเสี่ยงจากการลงทุนได้นั่นเอง

พวกเขาควรรู้สึกอย่างซาบซึ้งว่า เมื่อคุณเข้าซื้อหุ้น คุณอาจคิดผิดก็ได้ และมันยังจะเกิดขึ้นอยู่เรื่อยไป และเมื่อพวกเขาสามารถยอมรับความจริงว่าไม่สามารถวิเคราะห์ได้ถูกต้องทุกครั้ง หรือ กราฟอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้ การเก็งกำไรจึงอาจผิดพลาดได้

แต่หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงว่ามันอาจไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อไรที่มันวิ่งสวนทางกับสิ่งที่วิเคราะห์ผิดไป แต่ก็ยังไม่ยอมรับ ยังคงถือขาดทุนอยู่ต่อไป ในที่สุดมันก็จะทำให้เริ่ม “ตาบอด” จนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆเลยกว่า 95% ของความผิดพลาดต่างๆที่เกิดขึ้นในการเก็งกำไร ที่ทำให้เงินของคุณหายไปกับตานั้นเกิดมาจากทัศนคติของคุณเองเกี่ยวกับเรื่อง

“ความกลัวในการเก็งกำไร 4 ประเภท” นั่นก็คือ ความกลัวที่จะผิดพลาด ความกลัวที่จะขาดทุน กลัวที่จะพลาดโอกาส และกลัวที่กำไรจะหายไปนั่นเอง
ตราบใดที่คุณยังหวั่นไหวจากความกลัวเหล่านี้คุณจะไม่สามารถเชื่อมั่นในตนเองได ้ หรือแม้กระทั่งกระทำสิ่งที่คุณคิดได้ละก็ ความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอในการเก็งกำไรจะไม่มีวันเป็นไปได้สำหรับคุณครับ

มาถึงตรงนี้คงได้คำตอบนะครับ ชีวิต มีทางที่ต้องเลือกเดินครับ เพราะหากจะหวังเอาดีทั้งสองทาง มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับบนโลกแห่งการลงทุน ลองถามใจตัวเองให้ดีว่า คุณจะเลือกที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว หรือต้องการจะเป็น “นักเก็งกำไร” แต่ที่สำคัญแน่ใจหรือครับว่า ขนาดของ”หัวใจ”ของคุณนั้นแกร่งพอ!!!

มาถึงตรงนี้ หลายคนคงพอจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ผมไม่ค่อยสนับสนุนให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจนถึงขั้นพยายามยกระดับขึ้นเป็น นักลงทุนประเภทเก็งกำไรใน “หุ้น”สักเท่าไร เพราะผมไม่อยากให้คุณกลายเป็นคนที่ไม่ธรรมดาในแบบสุดขั้วที่ยึดเอา“เงิน”เป็นตัวตั้งในชีวิตมากจนแทบไม่เหลือความสุขที่แท้จริงในชีวิตอีกต่อไป

ตอนนี้คุณได้เรียนรู้และเข้าใจแล้วว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ระหว่าง “นักเก็งกำไรมืออาชีพ” กับ “นักเก็งกำไรมือสมัครเล่น”

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จนั้น จะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ ขนาดของ “หัวใจ” ที่พร้อมจะเข้าทำการซื้อ-ขายหุ้นในตลาดฯโดยปราศจากความกลัว สามารถที่จะปล่อยวาง และเชิดหน้าก้าวเดินต่อไปเพื่อหาโอกาสใหม่ๆในตลาดฯอยู่เสมอ ไม่ยึดติดกับความเจ็บปวดจากการขาดทุน หรือมัวแต่ “ฟูมฟาย”ผิดหวังกับสิ่งที่ได้ทำพลาดไปแล้ว

หากคุณมั่นใจในขนาดของ “หัวใจ” ของคุณ หรือเชื่อว่า “แกร่ง” พอ ลองเขยิบไปดูกันอีกสักนิดก็ได้ว่า อะไรคือขั้นตอน หรือวิธีการที่สำคัญในการเป็นนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยสนับสนุนเรื่องนี้สักเท่าไรก็ตาม แต่เพื่อพัฒนาความเชื่อและทัศนคติที่ถูกต้องในการเล่นหุ้นของคุณ

ในหนังสือ Trading in The Zone ของ Marc J. Douglas (ตัวเอียง) ได้วางแนวทางฝึกหัด หรือ Guide Line (ตัวเอียง) สำหรับการยกระดับขึ้นมาเป็นนักเก็งกำไรเอาไว้ ในตอน Trading an Edge like Casino (ตัวเอียง) หรือ “เก็งกำไรอย่างไรให้มีแต้มต่อ"

การเก็งกำไรที่มีความได้เปรียบนั้น คือการที่คุณสามารถที่จะมองเห็นโอกาสจากการที่ตลาดฯได้เผยออกมาในทุกๆวัน และนี่คือสิ่งที่เขาเรียกมันว่า Edge หรือการมองเห็นโอกาส สำหรับการซื้อ-ขายครั้งใหม่ๆ

แนวทางดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในการฝึกฝนจิตใจของคุณ เพื่อเรียนรู้การตอบสนองที่ถูกต้องจากสิ่งที่ตลาดฯเผยออกมา และยิ่งกว่านั้นคือการเรียนรู้ที่จะเป็น“นักเก็งกำไรที่มีวินัย”ที่สามารถทำตามกฎได้อย่างเคร่งครัด จนทำให้“คุณคือระบบ และระบบกลายเป็นตัวคุณ!”

เริ่มต้นจากการลองเลือกหุ้นมาสักตัวหนึ่ง โดยควรเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องเป็นอย่างดี และควรมีความผันผวนสูงสักหน่อย โดยอาจจะเริ่มจากหุ้นประเภท “บลูชิพ”บางตัวก็ได้หลังจากที่เราเลือกหุ้นที่เราจะทดลองฝึกดูได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกแนวทางที่เราจะซื้อขายกับมัน เพื่อให้คุณมีระบบการลงทุนของคุณเอง

มันอาจะเป็นการวิเคราะห์พื้นฐานหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็ได้เพราะการฝึกนี้ไม่เกี่ยวกับว่าระบบหรือวิธีการของคุณ ไม่เกี่ยวกับว่าเมื่อคุณเห็นกราฟ แล้วคุณจะคิดอย่างไร และมันไม่เกี่ยวกับว่าคุณจะได้กำไรหรือไม่ แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า “คุณจะสามารถทำตามระบบของคุณได้ไหม” โดยไม่ต้องสนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

ไม่ว่าระบบของคุณจะเป็นอย่างไรนั้น มันก็ควรจะมีองค์ประกอบ คือ มันต้องสามารถส่ง“สัญญาณ” บอกจุดเข้าซื้อให้คุณได้ ทำให้คุณรู้ว่าตรงไหนที่ควรตัดขาดทุน มีระยะเวลาหรือTime Frame ที่ชัดเจน โดยควรทดลองซื้อ-ขายเป็นจำนวนหลายๆครั้ง และมีวิธีการวัดผลที่แน่นอน และมีการจัดการความเสี่ยงควบคู่กันไปด้วย

โดยเมื่อพูดถึงการเข้าซื้อนั้น ตัวแปรที่ใช้ในการบ่งชี้ถึงโอกาสของคุณ ควรจะมีกฏที่ชัดเจนและแน่นอนว่า ทุกๆครั้งที่หุ้น X หล่นลงมาชนกับเส้นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง Moving Average-MA 20 วัน (ตัวเอียง)ในขณะที่ตลาดเป็นขาขึ้น จะเป็นจังหวะของการซื้อ หรือทุกครั้งที่เส้น Moving Average Convergence-Divergence- MACD (ตัวเอียง)หรือเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 2 เส้นตัดขึ้นจะเข้าซื้อ

พูดง่ายๆว่า หากเมื่อไรสภาพตลาดฯเข้าทางกับกฎการซื้อของคุณ จึงจะเป็นจุดซื้อของคุณ หากไม่ก็ไม่ควรซื้อ จะซื้อก็ต่อเมื่อมันตรงกับกฎหรือระบบของคุณเท่านั้น!
ในทางกลับกัน “การตัดขาดทุน” ก็เหมือนกับการซื้อหุ้นเช่นกัน ทุกคนควรจะมีกฎที่แน่นอนในการขายด้วย ไม่ว่าจะเป็นเมื่อมันหลุดเส้น MA 20 วัน หรือหลุดเส้น MA 50 วัน หรืออะไรก็ตาม ต้องมีกฏที่แน่นอนสำหรับการขาดทุนเช่นเดียวกับการซื้อครับ เพราะนั่นจะมีผลอย่างมากมายต่อผลกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหุ้นนั้นไม่วิ่งไปอย่างที่คิดระบบของคุณยังต้องสามารถบอกได้ว่า ควรจะยอมเสี่ยงแค่ไหนหากว่าทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด พูดง่ายๆว่าหากทำตามระบบ มันจะต้องบอกได้ว่าจะต้องทำอย่างไร รอนานแค่ไหน หรือจะยอมเสี่ยงมากเท่าไร และในเวลาเดียวกัน มันจะต้องมีจุดๆหนึ่งที่คุณจะไม่สามารถ ทำกำไรเพิ่มได้อีกแล้ว และควรที่จะขายออกมา ดีกว่าหวังให้มันวิ่งกลับมาที่เดิมครับ

เรื่องของกรอบเวลา มันจะอยู่บนระยะเวลานานแค่ไหนก็ได ้ แต่ส่วนใหญ่จะยึดโยงกับ กราฟ ราย5 นาที 30 นาที หรือกราฟรายวัน และที่สำคัญ กฎการเข้าซื้อและขายของคุณต้องใช้กรอบเวลาเดียวกันเช่นหากใช้กราฟราย 15 นาที ในการเข้าซื้อระหว่างวัน ก็ต้องใช้กราฟราย 15 นาทีในการขายด้วย

ในเบื้องต้น Marc ให้คำแนะนำไว้ว่า การเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด หรือมีความน่าจะเป็นที่จะได้กำไรมากที่สุด คือ “การซื้อเมื่อหุ้นซื้อหุ้นพักตัว” ในแนวโน้มขาขึ้น หรือ “การขายชอร์ทเมื่อหุ้นเด้งขึ้น”ขณะที่มันยังอยู่ในขาลงจุดสำคัญที่ทำให้นักเก็งกำไรส่วนใหญ่ล้มเหลวก็เพราะ บ่อยครั้งทั้งๆที่มีกำไร แต่ก็จะทนไม่ไหวรีบขายออกมา ทำให้ได้กำไรน้อยกว่าที่ควรจะเป็นทั้งๆที่กำลังเดินมาถูกทาง ปัญหาในเรื่องนี้ก็เพราะตามธรรมชาติ ตลาดฯไม่เคยวิ่งขึ้นเป็นเส้นตรง มันจะขึ้นๆลงๆ หรือย่อตัวเสมอ

เพื่อก้าวไปอีกขั้น และวัดผลของระบบที่เรากำหนดขึ้นมาเอง ควรลองแบ่งเงินทุนออกเป็นส่วนๆโดยไม่วางเงินทั้งหมดลงไปในหุ้นแค่หนึ่งหรือสองตัวครับ ควรจะกระจายเงินลงไปในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน เพื่อประกันความเสี่ยงในกรณีหุ้นบางตัวร่วงลงไป เงินทั้งหมดของคุณจะไม่หายไป

นักเก็งกำไรทั่วไปนั้น มักเอาชีวิตไปแขวนไว้กับผลการซื้อขายครั้งที่พึ่งจะผ่านๆมา หากมันทำกำไรได้ เขาจะกลับไปใช้มัน แต่หากมันไม่มีกำไร เขาก็จะเลิกใช้มัน ดังนั้นคุณควรจะทดสอบระบบของคุณโดยการทดลองซื้อขายในกระดาษก่อน เพื่อสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า อะไรคือเหตุผลในการตัดสินใจ จนคุณสามารถพูดได้ว่า นี่คือ“กฎของผม”
ที่สำคัญอีกอย่างคือ การกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือตัดขาดทุนในระหว่างการถือหุ้นเพื่อความสบายใจ ซึ่งมันแตกต่างๆโดยสิ้นเชิงกับการรับรู้ถึงความเสี่ยง

การฝึกแบบนี้ จะทำให้คุณกลายเป็นระบบ ทำตามระบบ และระบบจะฝึกคุณเอง พยายามทำตามระบบอย่างน้อย 20 ครั้ง ตามกฎของคุณ ไม่ใช่เพียงแค่การซื้อขายครั้งต่อไป แต่อีก 20 ครั้งต่อไป และห้ามละเมิดกฎเด็ดขาด

บทเรียนจากการทดลอง จะทำให้คุณได้ตระหนักว่า ทุกอย่างมันจะใช้การไม่ได้ ถ้าคุณไม่ทำตามระบบ แต่หากคุณสามารถปฏิบัติตามกฏเหล่านี้ได้ คุณก็จะอยู่ในข่ายที่จะเหมือนขึ้นสววรค์ เพราะมันจะทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างที่ต้องการ มองเห็นโอกาสในการทำกำไรได้ตลอดเวลา โดยไม่รู้สึกว่าระบบหรือตลาดฯนั้นจะคอยเล่นงานคุณอยู่เสมอ

นี่คือขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาความเชื่อและทัศนคติที่ถูกต้องของคุณ และนี่คือสิ่งที่ MarcJ.Douglas เขียนเอาไว้ในหนังสือ Trading in the Zone บางคนมาถึงตรงนี้ อาจจะประหลาดใจว่า ทำไมไม่เห็นมีใครเคยบอกเรื่องเหล่านี้มาก่อน คำตอบง่ายๆก็คือ เพราะมันเป็นเรื่องยากพอสมควร ดังนั้นหากคุณยังอยากเดินไปต่อในเส้นทางนี้ ผมแนะนำให้ลองไปซื้อหนังสือเล่มข้างบนมาอ่านแบบเจาะลึกกันเอาเองดีกว่าครับ


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์
7 กันยายน 2553

ตรวจสุขภาพการเงินหรือยัง

สุขภาพทางการเงิน

ที่ผ่านมาผมได้พยายามที่จะพาคุณๆที่ไม่ต้องการเป็นคนธรรมดา เดินผ่านเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงในปฏิบัติการเพื่อพลิกชีวิต เพื่อทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายในการมีอิสรภาพทางการเงิน สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในบั้นปลาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินๆทองๆอีกต่อไป

เพราะมีความเชื่อว่าเหมือนที่ตัวเองเคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้ว คือ คนส่วนใหญ่มักจะเริ่มสนใจเรื่องเงินๆทองๆก็ต่อเมื่อชีวิตเริ่มเกิดอาการสะดุด มีปัญหาติดๆขัดๆเรื่องเงิน โดยเฉพาะเรื่องหนี้สิน จึงค่อยเริ่มพยายามมองหาทางออกจากหุบเหวแห่งความทุกข์ ซึ่งสำหรับบางคนก็อาจจะเกือบสายเกินไป

ปฏิบัติการพลิกชีวิต จึงเริ่มต้นจากการชี้ให้คุณเห็นความสำคัญต่อ เรื่องเงินๆทองๆ และพยายามปลุกให้คนตื่นมี จิตวิญญาณ ของ“ผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้” และมุ่งมั่นกับพันธะสัญญาในการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งสำคัญที่จะต้องยอมเผชิญกับความยากลำบากอย่างแสนสาหัสในช่วงแรกๆของการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการเปลี่ยนแปลงที่ยากลำบากที่สุดจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น ที่คุณจะต้องกลับมาสร้างวินัยในการใช้จ่าย เข้าสู่ปฏิบัติการในการล้างหนด โดยเริ่มต้นจากหนี้ก้อนเล็กที่สุด เพื่อสร้างให้เกิด “โมเมนตัม” ของลูกบอลหิมะหรือ Snow Ball ค่อยๆจัดระบบเรื่องเงินๆทองๆในชีวิตเสียใหม่ จนสามารถจะมีรายได้เพียงพอที่จะจ่ายหนี้สินต่างๆที่มีอยู่
เมื่อผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมาได้แล้ว ก็จะเป็นช่วงของการสร้างเกราะป้องกันตัว โดยการสร้าง "กองทุนฉุกเฉิน” ขึ้นมา เพื่อเป็นหลักประกันรองรับ “อุบัติเหตุทางการเงิน” ที่อาจจะพุ่งเข้ามาใส่แบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
หลังจากนั้น ผมเสนอให้เริ่มคุณทำตัวให้เป็นคนมีวิสัยทัศน์มองไปในระยะยาว โดยการตั้งเป้าหมายของการลงทุนใน “กองทุนเพื่อวัยชรา” ผ่านกลไกที่ภาครัฐสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม หรือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ในเวลาเดียวกัน เพื่อสร้างกองทุนเพื่อวัยเกษียณให้เพิ่มพูนมากขึ้น ผมยังแนะนำให้รู้จักใช้ประโยชน์ “แต้มต่อ” ในการลงทุนใน การทำประกันชีวิต หรือ การซื้อกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMFRetirementMutual Fund และ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF Long-term Mutual Fund เพื่อใช้สิทธิ์ประโยชน์การช่วยลดหย่อนภาษี
ในระหว่างเส้นทางการเปลี่ยนแปลง ผมสนับสนุนให้เริ่มเก็บเงินออมและนำเงินไปลงทุนในการสร้าง “กองทุนเพื่อความมั่งคั่ง” โดยนำเม็ดเงินไปลงทุนในทางเลือกในการลงทุนประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สินทรัพย์ทางการเงิน ประเภทตราสารหนี้ หรือ ตราสารทุน หรือ กองทุนรวมประเภทต่างๆ หรือสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หรือ ของสะสมที่มีมูลค่า โดยยึดหลักการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากจะรู้ว่า อะไรจะเป็นตัวตัดสินได้ว่า ณ ปัจจุบัน สุขภาพทางการเงินของเราดีขึ้นหรือยัง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการตรวจเช็คสุขภาพร่างกายประจำปี
คงเหมือนคนทั่วๆไปนั่นแหละครับ ในช่วงที่ยังอยู่ในช่วงต้นๆของวัยทำงาน เรามักจะปล่อยชีวิตให้ลื่นไหลไปตามสภาพ ไม่เคยมีความคิดเรื่องการตรวจเช็คสุขภาพอยู่ในสมอง แต่เมื่อก้าวย่างเข้าสู่วัยกลางคน เราจึงเริ่มหันมาสนใจ
ล่าสุดผมใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่กว่าครึ่งวันในการตรวจทุกอย่าง ทั้งตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะเอ็กซเรย์ปอด เป่าสี อัลตราซาวด์ช่องท้อง วิ่งสายพาน และ ตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก
โชคดีที่สุขภาพโดยรวมของผมอยู่ในเกณฑ์ดีไม่มีปัญหาอะไรน่าหนักใจ ถึงแม้จะระดับน้ำตาลค่อนข้างสูง แต่ก็ยังไม่น่าวิตก แพทย์ลงความเห็นว่า ยังมีชีวิตต่อไปได้อีกนาน หากออกกำลังกายสม่ำเสมอเหมือนในปัจจุบัน แต่ต้องระวังเรื่องการรับประทานของหวาน เพราะเริ่มมี Triglyceride และ LDL สูง
สำหรับการตรวจสุขภาพทางการเงิน ผมมีวิธีเช็คอย่างง่ายๆ โดยดูจาก งบการเงิน หรือ งบที่แสดง“ความมั่งคั่งสุทธิ”โดยการนำเอาหนี้สินที่มีอยู่ทั้งหมด ไปหักออกจากทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด ก็จะทำให้ทราบภาพรวมว่า คุณมีความมั่งคั่งสุทธิมากน้อยแค่ไหน
ขณะเดียวกัน เมื่อหันไปดู งบกระแสเงินสด ซึ่งเป็นตัวสะท้อน รายได้-รายจ่าย และ หนี้สินในแต่ละเดือน จะทำให้ทราบถึงสถานการณ์ทางการเงิน ณ ปัจจุบันและอนาคตของคุณได้ไม่ยาก เพราะหากผลสุทธิออกมาเป็นลบ ก็แสดงว่า คุณอาจจะต้องใช้เงินออมที่มีอยู่ หรือ กู้เงินมาชดเชยรายได้ส่วนที่ขาด ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หรือ ความมั่งคั่งของคุณลดลง
เพี่อให้สะดวก และ เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น มีอัตราส่วนทางการเงินมาตรฐาน 6 ประการที่อาจจะใช้เป็นตัวชี้วัดว่า สุขภาพทางการเงินของคุณเยี่ยมแค่ไหน คือ
1.อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน หรือ กองทุนฉุกเฉิน ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ มีอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคือ 3-6 เดือน ของค่าใช้จ่ายประจำเดือนหรือไม่
2.อัตราส่วนสภาพคล่องพื้นฐาน หรือ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ มีอยู่มากพอที่จะจ่ายหนี้ระยะสั้นในแต่ละเดือนได้เพียงพอหรือไม่
3.อัตราหนี้สินรวมไม่ควรจะเกินกว่า ”ครึ่งหนึ่ง” ของ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ที่มีอยู่ ณ ขณะนั้นซึ่งยิ่งต่ำเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
4.อัตราส่วนในการจ่ายหนี้สินในแต่ละเดือน ไม่ควรสูงกว่า 20% ของรายได้ ถึงแม้ว่า ในหลักการทั่วไป เราอาจจะสามารถมีหนี้สินจากการกู้ยืม เพื่อ ซื้อบ้าน หรือ รถยนต์ ได้ไม่เกิน 28-36% แต่ยิ่งมีหนี้น้อยเท่าไร ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางการเงินของเรา
5.อัตราส่วนในการออมเพื่อลงทุนสร้างความมั่งคั่งในแต่ละเดือน ควรเกินกว่า 10% ของรายได้ เพราะยิ่งนำเงินออมไปลงทุนได้มากเท่าไรก็ยิ่งช่วยสร้างความมั่งคั่งสุทธิให้เราเพิ่มมากขึ้น
6.อัตราส่วนในการลงทุนหรือสินทรัพย์การลงทุนของเรามีมากกว่าครึ่งของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเราในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวแสดงให้เห็นว่า มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของเรามีแต่จะเพิ่มพูนขึ้น เพราะสินทรัพย์การลงทุนของเราสามารถให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
อัตรส่วนทางการเงินส่วนบุคคลทั้ง 6 ประการ จะเป็น “ตัวชี้วัด” ที่ดีว่า สุขภาพทางการเงินของคุณเข้มแข็งและมั่นคงมากน้อยแค่ไหน หากคุณมีอย่างหนึ่งอย่างใดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ผมแนะนำไว้ ก็แสดงว่า คุณอาจจะเริ่มมีสุขภาพทางการเงินในบางเรื่องไม่สู้ดี และ ต้องเร่งแก้ไขชในจุดนั้นทันทีครับ
วิธีตรวสอบที่ผมนำมาแนะนำไว้ ต้องถือว่าเป็นการตรวจเช็คสุขภาพทางการเงินของคุณด้วยตัวเอง หากคุณสามารถสอบผ่านทุกข้อก็แสดงว่า สุขภาพทางการเงินของคุณอยู่ในเกณฑ์เยี่ยมมากครับ และผมก็หวังให้เป็นเช่นนั้นทุกคนนะครับ

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

ตลท.ส่องตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟองสบู่ แม้่รายย่อยแห่เก็งกำไรหุ้นเล็กเพียบ

ตลท.ส่องตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟองสบู่ แม้่รายย่อยแห่เก็งกำไรหุ้นเล็กเพียบ

ตลท.มองตลาดหุ้นไทย ยังไม่อยู่ในภาวะฟองสบู่ แม้ขณะนี้นักลงทุนรายย่อยเล่นเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กกันมาก ทำให้สัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปริมาณซื้อขายจะเป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงฟองสบู่ในตลาดหุ้น ซึ่งปัจจุบันปัจจัยเสี่ยงยังไม่อยู่ในระดับสูงที่น่ากลัว

วันนี้ (8 ก.ย.) นายยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุถึงภาวะซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ว่า ยังไม่อยู่ในภาวะฟองสบู่ แม้ว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนรายย่อย ที่เข้ามาในตลาด มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีการเล่นเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กกันมาก

“ปริมาณการซื้อขาย ถือเป็นเครื่องชี้วัดตัวหนึ่ง ที่จะแสดงถึงฟองสบู่ตลาดหุ้น ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะปัจจุบันพี/อี เรโช ของเรา ยังไม่อยู่ในระดับสูงจนน่ากลัว” นายยรรยง กล่าว

นายยรรยง กล่าวอีกว่า ราคาหุ้นไทย ยังต่ำเมื่อเทียบกับในช่วงย้อนหลัง รวมถึงต่ำกว่าภูมิภาค และยัง support กับ earning ตามความเป็นจริงอยู่ จึงยังไม่น่ากังวล โดยขณะนี้สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นมาก และต่อเนื่อง โดยล่าสุด เมื่อเดือน ส.ค.อยู่ที่ 68.2% เทียบจาก 66.7% ใน ก.ค., 63.7% ใน มิ.ย., 56% ใน พ.ค.และ 53.6% ใน เม.ย. ตามลำดับ

ขณะที่ พบว่า มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์หุ้นขนาดเล็กที่ไม่อยู่ในกลุ่ม SET50 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยในเดือน ส.ค.อยู่ที่ 43.73%, เทียบจาก 35.69% ใน ก.ค., 36% ใน มิ.ย.และ 22% ใน พ.ค.ตามลำดับ

นายยรรยง กล่าวอีกว่า นักลงทุนรายย่อยเข้ามาเล่นเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กกันมาก โดยเฉพาะการเก็งกำไรตามข่าวที่มีเข้ามา ซึ่ง ตลท.และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พยายามชี้แจงทำความเข้าใจกับนักลงทุน ให้ศึกษาข้อมูล และทำความรู้จัก กับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ให้มากขึ้น

นายยรรยง กล่าวต่อว่า จากแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น มองว่า หน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบ ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงค่าเงินในขณะนี้ เนื่องจากกระแสเงินไหลเข้าเป็นไปตามภาวะของตลาดโดยรวมทั่วโลก ดังนั้น รัฐบาลจึงน่าจะใช้วิธีการบริหารจัดการค่าเงินบาทให้เหมาะสม ด้วยการใช้ประโยชน์จากกระแสเงินที่ไหลเข้า โดยเฉพาะนำมาใช้ในด้านการลงทุน เช่น โครงการเมกะโปรเจกต์ และรถไฟฟ้า ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์กว่า และควรสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ หากไทยไม่ลงทุนเพิ่มเติมในช่วงที่เงินบาทแข็งค่าก็อาจจะทำให้ความน่าสนใจของไทยลดลง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งอาจทำให้เงินทุนหนีออกไปในที่ที่น่าสนใจกว่า

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์ 8 กันยายน 2553 15:14 น.

ตลท.แนะฉวยจังหวะหุ้นบวก-ต้นทุนต่ำ

ตลท.แนะฉวยจังหวะหุ้นบวก-ต้นทุนต่ำ บจ.เร่งเพิ่มทุนขยายธุรกิจ

ตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะบจ.ฉวยช่วงจังหวะบวกเพิ่มทุนขยายธุรกิจ เหตุเศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้น-ต้นทุนต่ำ หลังดัชนีพุ่งดันมาร์เกตแคปทะลุ 7.4 ล้านล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ “ยรรยง” ยันชัด ยังไม่เกิดฟองสบู่ในตลาดหุ้นไทย เหตุพีอีหุ้นไทยยังต่ำ

นายยรรยง ไทยเจริญ ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ถือเป็นช่วงที่ดีที่บริษัทจะระดมทุนเพิ่ม เพื่อนำไปขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ จากที่ต้นทุนการะดมทุนไม่สูง ประกอบกับช่วงที่เงินบาทแข็งค่าจะได้ประโยชน์ในการซื้อสินค้าทุน เครื่องจักร ผลิตสินค้าที่มากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้น รวมถึงใช้ประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจมีการเติบโตที่ดี เช่น รีไฟแนนซ์ เพื่อใช้การลงทุนโครงการต่างทั้งภาครัฐและเอกชน

สำหรับแนวโน้มการระดมทุนในเดือนกันยายนนี้ น่าจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นดี ทำให้บริษัทมีการเพิ่มทุนที่สูงขึ้น หากวัฎจักรการลงทุนขาขึ้น ส่วน การระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ต้องใช้ระยะเวลาในการเสนอขายหุ้นจาก ที่จะต้องมีการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)

“ขณะนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังไม่น่ากังวล เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแรงสามารถรับมือกับค่าเงินบาทได้ ไม่เหมือนกับปี 2549 ที่เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบาง มีการประท้วง ปฏิวัติ ทำให้การส่งออกได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทมีแข็งค่า แต่อายมีบางกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบก็จะต้องมีการความเหลือเป็นจุดๆ ไป”

นายยรรยง กล่าวว่า จากการที่ดัชนีและมูลค่าการซื้อขายตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลา ด (มาร์เกตแคป) ทะลุ 7.4 ล้านล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ยังไม่ถึงระดับอันตรายที่ตลาดหุ้นจะเกิดภาวะฟองสบู่ เพราะค่าP/E หุ้นไทยยังไม่สูงจนน่าเป็นห่วง ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 13.17 เท่า ถือเป็นระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10ปีที่ผ่าน อยู่ที่ระดับ 15.68 เท่า ขณะที่ในช่วงวิกฤต P/E จะอยู่ที่ 20 เท่า รวมทั้งภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นไม่ได้ดูจากมูลค่าการซื้อขายเพียงอย่างเดียว

สำหรับภาวะการลงทุนในเดือนส.ค. 53 นั้น ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปิดที่ระดับ 913.19 จุด เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนก่อน 6.70% และเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 24.32% ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในภูมิภาค เนื่องจากสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกอยู่ในระดับสูง ประกอบกับเครื่องชี้เศรษฐกิจล่าสุดที่สะท้อนการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้มีเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้น ณ สิ้น ส.ค. 53 ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี 8 เดือนนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2539 ส่งผลให้มาร์เกตแคปของ SET และ mai อยู่ที่ 7,429,637 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนก่อน 6.70%

ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันในเดือนสิงหาคม 2553 อยู่ที่ 36,747.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.84% จากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 74.57% จากเดือนสิงหาคม 2552 โดยเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547 นักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 (ตั้งแต่มิ.ย. - ส.ค.) ส่งผลให้มูลค่าซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศในช่วง 8 เดือนแรกรวม 5,375.45 ล้านบาท และรวมจนถึงปัจจุบัน (8 ก.ย.) สูงถึง 13,130.54 ล้านบาท

ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์
วันที่ 8 กันยายน 2553 22:41 น.

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

หุ้นไทยแรงฉุดไม่อยู่ ทะลุ 942.73 จุด

หุ้นไทยแรงฉุดไม่อยู่ ทะลุ 942.73 จุด ได้แรงซื้อกลุ่มพลังงาน หลังมาบตาพุดคลี่คลาย

หลังมาบตาพุดคลี่คลาย หุ้นไทยแรงฉุดไม่อยู่ ทะลุ 942.73 จุด โดยบวกถึง 12.83 จุด หรือเพิ่มขึ้น 1.38 % ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงถึง 32,040.12 ล้านบาท ซึ่งหุ้นกลุ่มพลังงานมาแรง นักลงทุนแห่ซื้อเป็นจำนวนมาก สำหรับภาคบ่ายตลาดหุ้นน่าจะยังคงอยู่ในแดนบวกต่อ หุ้นพลังงานและแบงก์นำตลาด โดยเฉพาะ PTT ยังลงทุนได้ ด้านแนวรับอยู่ที่ 930 จุด แนวต้าน 945 จุด

วันนี้ (6 ก.ย.) ตลาดหลักทรัพย์ไทย ปิดภาคเช้าที่ระดับ 942.73 จุด เพิ่มขึ้น 12.83 จุด หรือ +1.38 %) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 32,040.12 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์มองวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวในแดนบวกค่อนข้างมาก ซึ่งในช่วงเช้าเปิดตลาดเกิน 10 จุดหลังจากนั้นมีการปรับฐานลงมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถยืนในแดนบวกตลอดช่วงเช้า หลังได้รับแรงซื้อหนาแน่นในกลุ่ม PTT หนุนตลาด และท้ายตลาดในกลุ่มแบงก์ หลังนักลงทุนมองมาบตาพุดจบเร็ว ด้านตลาดต่างประเทศบวกเสริมตลาดหุ้นไทย พร้อมให้แนวรับ 930 จุด แนวต้าน 945 จุด โดยแนะเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน แบงก์

สำหรับการซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดช่วงเช้า โดยแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 944.54 จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าที่ระดับ 931.98 จุด

ด้าน นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายหลักทรัพย์และฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ บล.เอเชียพลัส จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงเช้าปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งถือว่ามีปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างมากเนื่องจากนักลงทุนมองภาพบวก จากโครงการมาบตาพุดที่ดีขึ้นและเร็ว แม้บางช่วงจะมีการขายทำกำไรออกมาบ้างแต่ก็ยังยืนแดนบวกทั้งกลุ่ม PTT โดยเฉพาะ PTT PTTEP ที่มีแรงซื้อค่อนข้างมาก

ขณะที่ ยังมีแรงซื้อในกลุ่มแบงก์เข้ามาในช่วงท้ายตลาด จากแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อจากโครงการมาบตาพุด ส่งผลให้สินเชื่อขยายตัวมากขึ้น จึงเป็นปัจจัยหนุนตลาดในช่วงเช้าแดนบวก

นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยหนุนจากต่างประเทศ ที่อยู่ในแดนบวกเกือบทุกตลาดทั้งสหรัฐ และในแถบเอเชีย ซึ่งหนุนให้ตลาดหุ้นไทยเราคล้อยตาม ขณะที่ปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองมีการประนีประนอมที่ดีขึ้น ที่พรรคเพื่อไทยยอมสมานฉันท์ และปัญหาพรมแดนกัมพูชา ซึ่งลดความตึงเครียดได้ หนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนต่อเนื่อง แต่อาจไม่มากเหมือนช่วงที่ผ่านมาที่ซื้อค่อนข้างมากแล้ว

ส่วนตลาดหุ้นในช่วงบ่าย มองว่าตลาดหุ้นยังอยู่ในแดนบวกต่อ โดยกลุ่มที่ยังนำตลาดได้แก่ พลังงาน แบงก์ โดยเฉพาะ PTT ยังลงทุนได้ แต่ให้ติดตาม NGO ใน 2 สัปดาห์ หากศาลอุทรณ์ก็จะเป็นแรงกดดันตลาด พร้อมให้แนวรับ 930 จุดแนวต้าน 945 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 4,751.47 ล้านบาท ปิดที่ 305.00 บาท เพิ่มขึ้น 14.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 1,781.98 ล้านบาท ปิดที่ 638.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,685.47 ล้านบาท ปิดที่ 149.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท PTTAR มูลค่าการซื้อขาย 1,491.44 ล้านบาท ปิดที่ 25.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท และ TOP มูลค่าการซื้อขาย 1,347.87 ล้านบาท ปิดที่ 48.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์